แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในการปล้นทรัพย์และฆ่าคนตายนั้น ปรากฏว่าจำเลยที่ 3เพียงแต่จับมือบุตรสาวผู้ตายซึ่งยืนอยู่ที่หน้าร้านที่เกิดเหตุไว้ ไม่ได้ร่วมกระทำการฆ่าผู้ตายด้วย ทั้งไม่ได้ความว่ารู้ว่าจำเลยอื่นเจตนาฆ่าผู้ตายมาแต่ต้น จึงมีความผิดฐานปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคท้ายเท่านั้น
ส่วนจำเลยที่ 2 ใช้ขวานตีศีรษะผู้ตาย 3 ที จำเลยที่ 1 ใช้ปืนสั้นจ่อยิงหน้าอกผู้ตาย 1 นัด ผู้ตายล้มลงถึงแก่ความตาย แล้วจำเลยที่ 1 และที่ 2 พากันไปเก็บเงินในลิ้นชักโต๊ะแล้วหลบหนีไปเป็นพฤติการณ์ที่เห็นได้ชัดว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตายเพื่อความสะดวกในการกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 นอกเหนือจากความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามมาตรา 340 วรรคสุดท้าย ด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกสมคบกันปล้นทรัพย์และฆ่าคนโดยเจตนาเพื่อจะเอาทรัพย์ที่จำเลยกับพวกทำการปล้นและเพื่อปกปิดหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดฐานปล้นทรัพย์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340, 289, 83
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340, 289, 83 ให้ลงโทษตามมาตรา 289 อันเป็นบทหนักให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสาม
จำเลยที่ 2 ที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 กระทำผิดฐานปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายเท่านั้น พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคท้าย และ 83 ให้จำคุกไว้ตลอดชีวิต นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ที่ 3 ฎีกาขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ร่วมกับพวกปล้นทรัพย์จริง คดีคงมีปัญหาต่อไปว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ต้องมีความผิดฐานร่วมกับจำเลยที่ 1 ฆ่านายอาปุ่นผู้ตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 ตามฎีกาโจทก์ด้วยหรือไม่ นั้น ได้พิเคราะห์แล้ว สำหรับจำเลยที่ 3 ได้ความแต่เพียงว่าในการปล้นนั้น จำเลยที่ 3 จับข้อมือนางสาวกิมเกียวบุตรสาวผู้ตายยืนอยู่ที่หน้าร้านที่เกิดเหตุเฉย ๆ ไม่ได้ร่วมกระทำการฆ่าผู้ตายด้วยทั้งไม่ได้ความว่าจำเลยที่ 3 รู้ว่าจำเลยอื่นเจตนาฆ่าผู้ตายมาตั้งแต่ต้น รูปคดีจึงไม่พอฟังว่าจำเลยที่ 3 ได้ร่วมฆ่าผู้ตาย จำเลยที่ 3 คงมีความผิดฐานปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสุดท้ายเท่านั้น ส่วนจำเลยที่ 2 ได้ความว่า เมื่อเริ่มทำการปล้นได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 เข้าจับแขนนายอาปุ่นผู้ตายไว้คนละข้าง พร้อมกับลากผู้ตายเข้าไปข้างในร้านแล้วช่วยกันบังคับขู่เข็ญให้ผู้ตายบอกที่เก็บเงินและกุญแจ ผู้ตายไม่ยอมบอกและพยายามดิ้นจะหนี จำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงช่วยกันทำร้ายผู้ตายโดยจำเลยที่ 2 ใช้ขวานตีศีรษะผู้ตาย 3 ที จำเลยที่ 1 ใช้ปืนสั้นจ่อยิงหน้าอกผู้ตาย 1 นัด ผู้ตายล้มลงถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 1 ที่ 2 ต่างปล่อยมือผู้ตายพากันไปชักลิ้นชักโต๊ะเก็บเงินแล้วช่วยกันเก็บเงินในลิ้นชักโต๊ะนั้นหลบหนีไป เป็นพฤติการณ์ที่เห็นได้ชัดว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตาย เพื่อความสะดวกในการกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์ และเพื่อเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การปล้นทรัพย์หรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญา จำเลยที่ 2 จึงต้องมีความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 นอกเหนือจากความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามมาตรา 340 วรรคสุดท้าย ด้วย
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289, 340 วรรคสุดท้าย และมาตรา 83ให้ลงโทษตามมาตรา 289 ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดให้ประหารชีวิตนายอุมาหรืออาแว สะอะ หรือ ซาอะ จำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้ไขคงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์