แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
เจ้าของที่ดินยอมให้โจทก์และประชาชนใช้ทางพิพาทสัญจรไปมาเป็นเวลาช้านานหลายสิบปี ย่อมถือได้ว่าได้อุทิศที่ดินให้เป็นสาธารณะโดยปริยายแล้ว ทางพิพาทเป็นทางสาธารณะกว้าง 6 เมตร จำเลยปิดกั้นโจทก์ใช้รถยนต์ผ่านเข้าออกไม่ได้ โจทก์ย่อมได้รับความเสียหายจำเลยต้องใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ จำเลยทำรั้วปิดกั้นทางพิพาทซึ่งเป็นทางสาธารณะเป็นเหตุให้โจทก์ใช้ทางพิพาทเข้าออกบ้านของโจทก์ไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์การที่โจทก์รื้อรั้วที่ปิดกั้นออก เพื่อจะได้ใช้ทางพิพาทต่อไป จึงเป็นการกระทำเพื่อป้องกันความเสียหายโดยชอบด้วยกฎหมาย แม้จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลย โจทก์ก็ไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ที่ 2 ชำระค่าเสียหายให้แก่จำเลยที่ 6 เป็นเงิน 2,000 บาทฟ้องแย้งนอกนี้ให้ยก ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า ทางพิพาทตามแผนที่พิพาทตามเส้นสีชมพูเป็นทางสาธารณะให้จำเลยทั้งหกรื้อถอนเครื่องกีดขวางทางพิพาททั้งหมดด้วยทุนทรัพย์และค่าใช้จ่ายของจำเลยทั้งหก หากจำเลยทั้งหกไม่ยอมทำให้โจทก์ทั้งสี่มีอำนาจกระทำได้ โดยคิดค่าใช้จ่ายจากจำเลยทั้งหกห้ามจำเลยทั้งหกเกี่ยวข้องกับทางพิพาทต่อไป ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2ที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 1 ที่ 2 และที่ 4คนละ 1,000 บาท ให้จำเลยที่ 6 ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 1 ที่ 2และที่ 4 คนละ 1,700 บาทให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 6 จำเลยทั้งหกฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 17162 แขวงคลองกุ่ม เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานครเนื้อที่ 8 ไร่ 4 ตารางวา เดิมเป็นของนายหะยีสะฮัก วงษ์เดอรีโดยทางราชการออกโฉนดให้เมื่อปี พ.ศ. 2506 นายหะยีสะฮักถึงแก่กรรมแล้ว นางหยำ วงษ์เดอรีเป็นผู้รับมรดก เมื่อปี พ.ศ. 2509นางหยำได้แบ่งขายที่ดินในโฉนดดังกล่าวให้แก่ผู้อื่นหลายคนและได้มีการแบ่งแยกโฉนดออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ดังกล่าวเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 39597, 39599, 39601, 64965, 64966ที่ดินโฉนดเลขที่ 39597 เป็นของนางประเทือง พยัฆวิเชียรโฉนดเลขที่ 39599 และ 39601 เป็นของโจทก์ที่ 3ที่ดินโฉนดเลขที่ 64965 เป็นของโจทก์ที่ 2 ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 64966 เดิมเป็นของนางลัดดา จันดร โจทก์ที่ 1ซื้อมาจากนางลัดดาเมื่อปี พ.ศ. 2516 ที่ดินที่เหลือในโฉนดเดิม คือโฉนดเลขที่ 17162 เป็นของโจทก์ที่ 4 ที่ดินโฉนดเลขที่ 39597 ซึ่งเป็นของนางประเทืองนั้น ต่อมานางประเทืองได้แบ่งแยกโฉนดออกเป็น 10 แปลง เป็นโฉนดเลขที่ 76041 ถึง 76050และโฉนดเดิมคือโฉนดเลขที่ 39597 ต่อมานางประเทืองได้ขายที่ดินโฉนดเลขที่ 76042 ถึง 76049 รวม 8 แปลง ให้แก่จำเลยที่ 6ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 76041 นางประเทืองได้แบ่งแยกออกเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 83102 โอนให้แก่นายชาญกิจ พยัฆวิเชียรต่อมานางประเทืองและนายชาญกิจได้ขายที่ดินโฉนดเลขที่ 39597,76041, 83102 และ 76050 ให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อมาเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2520 ได้มีการจดทะเบียนให้ที่ดินในโฉนดเลขที่ 76050 ตกอยู่ในภารจำยอมเป็นทางเดินของที่ดินโฉนดเลขที่ 76041 ถึง 76049 ปรากฏตามหนังสือเอกสารหมาย จ.5ที่ดินโฉนดเลขที่ 76050 นี้ ทิศเหนือจดถนนสุขาภิบาล 2ยาวมาทางทิศใต้จดคลองแสนแสบ เมื่อเดือนตุลาคม 2520 จำเลยที่ 1และที่ 2 ได้ปักเสาทำเครื่องกีดขวางตลอดความกว้างของที่ดินโฉนดเลขที่ 76050 ด้านที่ติดกับถนนสุขาภิบาล 2 และเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2522 จำเลยที่ 6 ได้ปักเสาทำเครื่องกีดขวางยาวตลอดความกว้างของที่ดินโฉนดเลขที่ 76050 และบางส่วนของที่ดินโฉนดเลขที่ 76042 ถึง 76048 ด้านที่ติดกับถนนสุขาภิบาล 2 และทำรั้วยาวตลอดแนวที่ดินของโจทก์ทั้งสี่ต่อมาเมื่อปี 2522 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้โอนที่ดินโฉนดเลขที่ 76050 ให้แก่จำเลยที่ 3 และที่ 4 และโอนที่ดินโจทก์เลขที่ 39597, 76041 และ 83102 ให้แก่จำเลยที่ 5 ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งหกมีว่า ทางพิพาทเป็นทางสาธารณะหรือไม่และมีความกว้างมากน้อยเพียงไรกับเรื่องค่าเสียหาย
พิเคราะห์แล้ว ได้ความตามที่โจทก์จำเลยนำสืบว่าทางพิพาทเป็นที่นายหะยีสะฮัก วงษ์เดอรี เจ้าของที่ดินเดิมทำขึ้นเพื่อให้ประชาชนใช้เดินเข้าออกตลาดบางเตยของนายหะยีสะฮักซึ่งอยู่ที่ริมคลองแสนแสบ นายฮับลี วงษ์เดอรี บุตรชายนายหะยีสะฮักพยานโจทก์เบิกความว่า เมื่อนายฮับลีเกิดมาก็เห็นทางนี้มีอยู่แล้ว ขณะเบิกความนายฮับลีอายุ 55 ปีทางพิพาทจึงมีมาช้านาน ไม่น้อยกว่า 55 ปีแล้ว นายฮับลีเบิกความต่อไปว่า เดิมทางพิพาทเป็นทางเดินบนคันนากว้างราว 1 เมตรสูงราว 50 เซนติเมตร เมื่อ พ.ศ. 2503-2504 นายฮับลีได้ขุดดินในที่นามาประกบให้ทางเดินใหญ่ขึ้น โดยทำฐานล่างกว้าง3 วา ข้างบนกว้าง 2 วาตั้งแต่ถนนสุขาภิบาล 2 ที่ทางราชการทำขึ้นไปจนถึงตลาดบางเตย เพื่อให้ประชาชนเข้าออกได้สะดวกและได้บอกนายสมาน ใจจินดา ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 2 แขวงคลองกุ่มในสมัยนั้นว่า ต้องการให้คนทั่วไปใช้เดินได้เป็นทางสาธารณะโจทก์นำนายสมานมาสืบ นายสมานก็เบิกความยืนยันว่าในปีพ.ศ. 2503-2504 ได้ไปดูนายฮับลีทำทางพิพาทและนายฮับลีบอกว่าจะทำเพื่อให้ใช้ร่วมกันเป็นทางสาธารณะนายบุญเสริม วงษ์วรรณวัฒน์ น้องชายจำเลยที่ 3ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 2 แขวงคลองกุ่ม แทนนายสมานก็เบิกความว่าหลังจากนายหะยีสะฮักถึงแก่กรรมแล้วได้เคยออกเงินช่วยบูรณะซ่อมแซมทางพิพาทด้วย เพราะเห็นว่าเป็นประโยชน์ร่วมกัน ข้อเท็จจริงก็ได้ความตามคำจำเลยที่ 3ว่า เดิมตลาดบางเตยเป็นตลาดที่เจริญมากในบริเวณนั้นมีร้านขายยาร้านขายทอง ร้านตัดผม เดิมมีโรงยาฝิ่นด้วย และมีท่าเรือรอบตลาดบางเตยมีโรงสีถึง 2 แห่ง มีประชาชนย่านทางพิพาทเข้าตลาดบางเตยวันละไม่ต่ำกว่า 70-80 คน และไม่เฉพาะประชาชนในหมู่ที่ 2 เท่านั้นที่ใช้ทางพิพาท ประชาชนหมู่ที่ 7 และหมู่ที่ 8ก็ใช้ทางนี้ด้วย การที่เจ้าของที่ดินยอมให้โจทก์และประชาชนทั่วไปใช้ทางพิพาทสัญจรไปมาเป็นเวลาช้านานหลายสิบปีเช่นนี้ย่อมถือได้ว่าเจ้าของที่ดินได้อุทิศที่ดินดังกล่าวให้เป็นทางสาธารณะโดยปริยายแล้วที่นายฮับลีเบิกความว่าได้ขายที่ดินให้แก่นางประเทือง พยัฆวิเชียร รวมทั้งทางพิพาทด้วยอาจเป็นเพราะไม่ได้จดทะเบียนทางพิพาทเป็นทางสาธารณะจึงได้ขายรวมกันไปโดยทั้งสองฝ่ายรู้เห็นกันเอง การที่จำเลยที่ 1และที่ 2 ไปจดทะเบียนให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 76050 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทางพิพาทกว้าง 1.50 เมตร เป็นทางเดินและเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 76042 ถึง 76049 ไม่ทำให้ทางพิพาทซึ่งเป็นทางสาธารณะมาก่อนเปลี่ยนสภาพไป ปัญหาต่อไปคงมีว่า ทางพิพาทมีความกว้างแค่ไหนเพียงไรปัญหานี้นอกจากจะได้ความคำพยานโจทก์แล้ว นายบุญเสริมพยานจำเลยก็เบิกความว่า หลังจากนางประเทืองซื้อที่ดินมาแล้วนางประเทืองได้ขุดดินขยายทางพิพาทให้กว้างขึ้นอีก 2 เมตรตามภาพถ่ายหมาย จ.21 ก็เห็นได้ว่าทางพิพาทเป็นทางที่กว้างมากพอสมควร มีรถยนต์บรรทุก 10 ล้อชนิดมีสาลี่พ่วง มีไม้บรรทุกอยู่เต็มคันรถจอดอยู่ 1 คัน รถยนต์คันนี้นางละมัย วงษ์วรรณวัฒน์มารดาจำเลยที่ 3 เบิกความว่าเป็นรถยนต์ของห้างหุ้นส่วนจำกัดต.บางเตยค้าไม้ ซึ่งมีจำเลยที่ 3 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการเวลาขนไม้เข้ามาที่โรงเก็บไม้ของห้าง ได้ใช้รถยนต์สาลี่นี้บรรทุกเข้ามา ถ้าทางพิพาทไม่กว้างจริงย่อมใช้รถยนต์ชนิดนี้บรรทุกไม้เข้ามาไม่ได้ ที่นายชัยชนะ พยัฆวิเชียรบุตรชายนางประเทือง และพยานจำเลยบางปากเบิกความว่านางประเทืองขุดดินเพื่อทำเป็นแนวเขตและทำเป็นบ่อเลี้ยงปลาขัดกับคำนายบุญเสริม และขัดต่อเหตุผล เพราะได้ความตามคำพยานจำเลยว่า เมื่อขุดดินแล้วนางประเทืองไม่ได้เลี้ยงปลาแต่อย่างใดที่นายชัยชนะเบิกความว่าที่นางประเทืองไม่ได้เลี้ยงปลาเพราะไม่มีคนดูแล ไม่เป็นข้อแก้ตัวที่ฟังได้ ข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่าเมื่อนางประเทืองซื้อที่ดินมาแล้ว นางประเทืองก็ได้อุทิศที่ดินขยายทางพิพาทให้กว้างขึ้นอีก 2 เมตรเพื่อให้ใช้สัญจรไปมาได้สะดวกยิ่งขึ้น เมื่อรวมกันทางที่นายฮับลีทำไว้เดิม ทางพิพาทจึงมีความกว้าง 6 เมตร ปัญหาสุดท้ายคือเรื่องค่าเสียหาย พิเคราะห์แล้วเมื่อฟังว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะ จำเลยปิดกั้น โจทก์ที่ 1 ที่ 2 และที่ 4ใช้รถยนต์ผ่านเข้าออกไม่ได้ โจทก์ที่ 1 ที่ 2 และที่ 4ย่อมได้รับความเสียหาย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยแต่ละสำนวนใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ที่ 1 ที่ 2 และที่ 4คนละ 100 บาทต่อวัน นับตั้งแต่วันปิดกั้นจนถึงวันที่ศาลสั่งให้เปิดทางพิพาท จึงเป็นการสมควรและเหมาะสมกับรูปคดีแล้ว ที่จำเลยที่ 6ฎีกาว่า โจทก์ที่ 2 รื้อรั้วที่จำเลยที่ 6 ปิดกั้น ขอให้โจทก์ที่ 2ใช้ค่าเสียหายตามฟ้องแย้งนั้น เห็นว่าจำเลยที่ 6 ทำรั้วปิดกั้นทางพิพาทซึ่งเป็นทางสาธารณะ เป็นเหตุให้โจทก์ที่ 2 ใช้ทางพิพาทเข้าออกบ้านของโจทก์ที่ 2 ไม่ได้ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ที่ 2 การที่โจทก์ที่ 2 รื้อรั้วที่จำเลยที่ 6 ปิดกั้นออกเพื่อจะได้ใช้ทางพิพาทต่อไป จึงเป็นการกระทำเพื่อป้องกันความเสียหายโดยชอบด้วยกฎหมาย แม้จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยที่ 6 โจทก์ที่ 2 ก็ไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยทั้งหกฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ