คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1490/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ไม้สักของกลางทำเป็นถาดแบบฝักถั่ว ทำขึ้นเพื่อใส่อาหารมีรูปร่างเช่นเดียวกับถาดที่สำเร็จรูปแล้ว แม้จะยังไม่ขัดน้ำมันอย่างเช่นถาดสำเร็จรูป แต่เมื่อไม่อาจนำไปเปลี่ยนแปลงทำเป็นสิ่งอื่นต่อไปได้ และใช้ใส่อาหารได้แล้ว ไม้สักของกลางจึงมีสภาพเป็นเครื่องใช้ แต่ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 4(4) ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 116 ข้อ 1 นั้น แม้ไม้สักของกลางมีสภาพเป็นเครื่องใช้ แต่ถ้าเครื่องใช้นั้นเป็นเครื่องใช้ที่ไม่ชอบด้วยลักษณะของเครื่องใช้ที่ใช้เป็นปกติในท้องที่นั้นหรือที่ผิดปกติวิสัยแล้ว ไม้สักของกลางก็ยังคงเป็นไม้แปรรูปอยู่ เมื่อศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงข้อนี้มาข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาจึงยังไม่พอที่จะวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายที่ว่า ไม้สักของกลางยังเป็นไม้แปรรูปตามกฎหมายอยู่หรือไม่ ดังนี้ ศาลฎีกาเห็นสมควรก็ชอบที่จะวินิจฉัยข้อเท็จจริงข้อนี้ไปได้โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยก่อน และฟังว่าไม้สักของกลางเป็นเครื่องใช้ที่ชอบด้วยลักษณะของเครื่องใช้ที่ใช้เป็นปกติในท้องที่นั้น และไม่ผิดปกติวิสัย จึงไม่เป็นไม้แปรรูป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2517 จำเลยร่วมกันมีไม้สักแปรรูปอันเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. จำนวน 176 ชิ้น ซึ่งอยู่ในลักษณะเป็นอ่างรูปฝักถั่วโกลน ยังไม่สำเร็จ ใช้การไม่ได้ และไม่ชอบด้วยลักษณะของเครื่องใช้ที่ใช้เป็นปกติในท้องที่เกิดเหตุไว้ในความครอบครอง ในเขตควบคุมการแปรรูปไม้โดยไม่รับอนุญาต และไม่มีเหตุได้รับยกเว้นความผิด ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 116 ข้อ 1, 4 และริบของกลาง

จำเลยทั้งสองให้การว่า เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยของกลางแต่ของกลางดังกล่าวใช้ใส่อาหารจำพวกกับแกล้มสุราเป็นเครื่องใช้แล้ว ไม่ใช่ไม้แปรรูป

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ของกลางเป็นของที่อยู่ในสภาพเครื่องใช้สำเร็จรูปพ้นสภาพจากการเป็นไม้แปรรูปแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์ของกลางคืนจำเลย

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ของกลางเป็นเครื่องใช้สำเร็จรูปแล้ว ไม่เป็นไม้แปรรูป พิพากษายืน

โจทก์ฎีกาสรุปความว่า ไม้สักของกลางเป็นไม้แปรรูปตามกฎหมาย

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฎีกาของโจทก์เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนั้น ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 222 ซึ่งศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในสำนวนว่า เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2517 พนักงานป่าไม้ตรวจค้นรถยนต์โดยสารของจำเลยที่ 2 พบไม้สักทำเป็นถาดแบบฝักถั่วรวม 176 ชิ้น บรรจุในกระสอบรวม 3 กระสอบ จำเลยที่ 1 รับว่าเป็นเจ้าของ จำเลยที่ 2 ปฏิเสธ ไม้สักของกลางไม่ได้ขัดและทาน้ำมัน แต่ไม่อาจจะเอาไปเปลี่ยนแปลงทำเป็นสิ่งอื่นต่อไป และใช้ใส่อาหารได้ ปรากฏตามวัตถุพยานหมาย จ.2 และ จ.3 ส่วนไม้สักที่ทำเป็นถาดแบบฝักถั่ว ซึ่งขัดและทาน้ำมันแล้วมีสภาพตามวัตถุพยานหมาย จ.4

ปัญหาที่ว่า ไม้สักของกลางยังเป็นไม้แปรรูปตามกฎหมายอยู่หรือไม่นั้นตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 4(4) ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 116 ลงวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2515 ข้อ 1 ไม้แปรรูปหมายความรวมถึงไม้ที่อยู่ในสภาพที่เป็นเครื่องใช้ที่ไม่ชอบด้วยลักษณะของเครื่องใช้ที่ใช้เป็นปกติในท้องที่นั้น หรือที่ผิดปกติวิสัย เบื้องต้นจึงต้องวินิจฉัยก่อนว่า ไม้สักของกลางมีสภาพเป็นเครื่องใช้ตามความหมายของพระราชบัญญัติดังกล่าวหรือไม่ ศาลฎีกาได้พิเคราะห์สภาพของกลางตามวัตถุพยานหมาย จ.2และ จ.3 แล้วเห็นว่า ของกลางเป็นถาดแบบฝักถั่ว ทำขึ้นเพื่อใส่อาหาร มีรูปร่างเช่นเดียวกับถาดตามวัตถุพยานหมาย จ.4 แม้จะยังไม่ขัดน้ำมันอย่างเช่นถาดตามวัตถุพยานหมาย จ.4 แต่เมื่อไม่อาจนำของกลางไปเปลี่ยนแปลงทำเป็นสิ่งอื่นต่อไปได้ และใช้ของกลางใส่อาหารได้แล้ว ของกลางจึงมีสภาพเป็นเครื่องใช้ แต่ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ดังกล่าว ถ้าเครื่องใช้นั้นเป็นเครื่องใช้ที่ไม่ชอบด้วยลักษณะของเครื่องใช้ที่ใช้เป็นปกติในท้องที่นั้น หรือที่ผิดปกติวิสัยแล้ว ไม้สักของกลางก็ยังคงเป็นไม้แปรรูปอยู่ ซึ่งข้อเท็จจริงที่ว่าไม้สักของกลางเป็นเครื่องใช้ที่ชอบด้วยลักษณะของเครื่องใช้ที่ใช้เป็นปกติในท้องที่นั้น หรือผิดปกติวิสัยหรือไม่ ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยมา ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาจึงยังไม่พอที่จะวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของโจทก์ได้ ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยข้อเท็จจริงข้อนี้ โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยก่อน

ในปัญหาดังกล่าว ศาลฎีกาฟังว่าไม้สักของกลางเป็นเครื่องใช้ที่ชอบด้วยลักษณะของเครื่องใช้ที่ใช้เป็นปกติในท้องที่นั้นและไม่ผิดปกติวิสัย

เมื่อไม้สักของกลางมีสภาพเป็นเครื่องใช้ที่ชอบด้วยลักษณะของเครื่องใช้ที่ใช้เป็นปกติในท้องที่นั้น และไม่ผิดปกติวิสัย ไม้สักของกลางจึงไม่เป็นไม้แปรรูปตามความหมายของพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 4(4) แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 116 ข้อ 1 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นที่ให้ยกฟ้องโจทก์และคืนของกลางแก่จำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share