แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยรับว่าได้ถอดชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจยึดไว้เป็นของกลางจริง โดยอ้างว่าได้รับอนุญาตจาก อ. เจ้าของรถให้ยืมชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ดังกล่าวซึ่งขัดต่อเหตุผล เนื่องจากการถอดชิ้นส่วนจาก รถจักรยานยนต์ของกลางจะทำให้รถจักรยานยนต์ของกลางใช้การไม่ได้ ทั้งยังขัดกับคำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวน ซึ่งมิได้นำสืบปฏิเสธความถูกต้องแท้จริงของบันทึกคำให้การดังกล่าว ทั้งตามบันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพและภาพถ่ายปรากฏว่าจำเลยได้นำชี้เส้นทางที่ใช้เป็นทางเข้าออกโดยเข้ามาข้างศาลาพักผู้โดยสารด้านหลังสถานีตำรวจ แล้วเข้ามาลักชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ของกลางและหลบหนีไปทางเส้นทางเดิมซึ่งจำเลยมิได้ปฏิเสธว่าบันทึกและภาพถ่ายดังกล่าวไม่ถูกต้องเช่นกัน จึงรับฟังได้ว่าจำเลยให้การรับสารภาพตามบันทึกคำให้การผู้ต้องหาและนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพโดยสมัครใจ เมื่อคำรับสารภาพดังกล่าวเจือสมกับคำเบิกความของสิบตำรวจโท จ. ที่ว่าพบรอยเท้าคนเดินที่พงหญ้าด้านหลังสถานีตำรวจ นอกจากนี้จำเลยก็มิได้นำสืบใบมอบอำนาจที่จำเลยอ้างว่า อ. เจ้าของรถมอบอำนาจให้มาถอดชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์หรือนำเจ้าพนักงานตำรวจที่จำเลยแสดงใบมอบอำนาจ ดังกล่าวมาเบิกความสนับสนุน ทั้งรถจักรยานยนต์ของกลาง ก็ยังอยู่ในความครอบครองของเจ้าพนักงานตำรวจซึ่ง อ. จะอนุญาตให้ถอดชิ้นส่วนรถไปโดยพลการไม่ได้ ข้ออ้างของ จำเลยจึงฟังไม่ขึ้น ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ พฤติการณ์ของจำเลยจึงมีเจตนาทุจริต แม้ว่า อ. จะทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยรับรถจักรยานยนต์ของกลางแต่ก็เป็นเวลา ภายหลังเกิดเหตุแล้ว ไม่ทำให้จำเลยพ้นความผิดไปได้ จำเลยจึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(1) และ (8) วรรคสาม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33, 335, 357 ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน18,700 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1) และ (8) วรรคสาม จำคุก 2 ปีข้อนำสืบและคำรับสารภาพชั้นจับกุมและสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลย 1 ปี 4 เดือนให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน 18,700 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2539 เวลากลางคืน จำเลยได้ถอดชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ซึ่งถูกเจ้าพนักงานตำรวจยึดเป็นของกลางในคดีอาญาและเก็บอยู่ในที่เก็บรถจักรยานยนต์ของสถานีตำรวจภูธรตำบลบางศรีเมืองไปหลายรายการตามบัญชีทรัพย์ถูกประทุษร้ายเอกสารหมาย จ.8 รถจักรยานยนต์คันดังกล่าวศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้คืนแก่เจ้าของเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2537 เจ้าพนักงานตำรวจทราบคำพิพากษาดังกล่าวจากพนักงานอัยการเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม2539 ตามหนังสือแจ้งผลเกี่ยวกับทรัพย์สินของกลางเอกสารหมาย ล.4นายอดิเรก กลิ่นชื้น มอบอำนาจให้จำเลยรับรถจักรยานยนต์คืนตามหนังสือมอบอำนาจลงวันที่ 26 กรกฎาคม 2539 คงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าจำเลยกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีร้อยตำรวจเอกณรงค์ โสขุมาพนักงานสอบสวนเป็นพยานเบิกความว่า เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2539เวลาประมาณ 8 นาฬิกา พยานได้รับรายงานจากสิบตำรวจโทเจตน์สะอาดชูชม ว่ารถจักรยานยนต์ที่ยึดไว้ในคดีอื่นและเก็บรักษาไว้ด้านหลังสถานีตำรวจภูธรตำบลบางศรีเมืองถูกคนร้ายถอดชิ้นส่วนไปจากการสืบสวนทราบว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้ เจ้าพนักงานตำรวจจึงตามไปยึดชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ของกลางได้ที่บ้านของจำเลยชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพฐานลักทรัพย์ตามบันทึกการจับกุมและบันทึกคำให้การผู้ต้องหาเอกสารหมาย จ.3และ จ.2 ตามลำดับและจำเลยนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพตามบันทึกเอกสารหมาย จ.4 และภาพถ่ายหมาย จ.5 และสิบตำรวจโทเจตน์เบิกความว่าที่เก็บของกลางมีรั้วอยู่ 3 ด้านด้านหลังไม่มีรั้วเป็นแอ่งน้ำและพงหญ้า วันที่พบชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ดังกล่าวหายไป ได้ตรวจดูบริเวณพงหญ้าด้านหลังมีรอยเท้าคนเดินส่วนจำเลยมีตัวจำเลยเป็นพยานเบิกความว่ารถจักรยานยนต์ของจำเลยเกิดอุบัติเหตุชนกับรถยนต์กระบะได้รับความเสียหาย จำเลยจึงไปพบนายอดิเรกที่เรือนจำจังหวัดนนทบุรีขอยืมชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ของนายอดิเรกซึ่งเก็บอยู่ที่สถานีตำรวจภูธรตำบลบางศรีเมือง นายอดิเรกให้ยืมจำเลยจึงไปถอดชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ดังกล่าวเวลาประมาณ 22 นาฬิกาโดยเข้าไปหาทางด้านหน้าและพบสิบตำรวจตรีอรุณ แผนชัยภูมิจำเลยบอกสิบตำรวจตรีอรุณว่าจะมาดูอะไหล่รถจักรยานยนต์ของนายอดิเรก ขณะถอดชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์เจ้าพนักงานตำรวจผ่านมาเห็นจำเลย จำเลยจึงแสดงใบมอบอำนาจจากเจ้าของให้มาถอดชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ให้เจ้าพนักงานตำรวจดูด้วย รุ่งขึ้นเจ้าพนักงานตำรวจมาเชิญตัวจำเลยไปสถานีตำรวจภูธรตำบลบางศรีเมืองบอกว่าให้เอาอะไหล่ไปคืนก็จบเรื่อง และให้จำเลยลงชื่อรับสารภาพจำเลยก็ลงชื่อรับสารภาพ เห็นว่า จำเลยนำสืบรับว่าได้ถอดชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ตามฟ้องจริง เพียงแต่อ้างว่าได้รับอนุญาตจากนายอดิเรกเจ้าของรถให้ยืมชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ดังกล่าวซึ่งข้ออ้างดังกล่าวนี้ขัดต่อเหตุผล เนื่องจากการถอดชิ้นส่วนจากรถจักรยานยนต์ของกลางจะทำให้รถจักรยานยนต์ของกลางใช้การไม่ได้ไม่น่าเชื่อว่านายอดิเรกจะให้จำเลยยืมชิ้นส่วนดังกล่าวและยังขัดกับคำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนตามบันทึกคำให้การผู้ต้องหาเอกสารหมาย จ.2 โดยจำเลยมิได้นำสืบปฏิเสธความถูกต้องแท้จริงของบันทึกคำให้การดังกล่าว ทั้งตามบันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพเอกสารหมาย จ.4และภาพถ่ายหมาย จ.5 ภาพที่ 1 จำเลยได้นำชี้เส้นทางที่ใช้เป็นทางเข้าออกโดยเข้ามาข้างศาลาพักผู้โดยสารด้านหลังสถานีตำรวจภูธรตำบลบางศรีเมืองแล้วเข้ามาลักชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ของกลางและหลบหนีไปทางเส้นทางเดิม ซึ่งจำเลยมิได้นำสืบปฏิเสธว่าบันทึกและภาพถ่ายดังกล่าวไม่ถูกต้องเช่นกัน จึงรับฟังได้ว่าจำเลยให้การรับสารภาพตามบันทึกคำให้การผู้ต้องหาเอกสารหมาย จ.2และนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพโดยสมัครใจและคำรับสารภาพดังกล่าวยังเจือสมกับคำเบิกความของสิบตำรวจโทเจตน์ที่เบิกความว่าพบรอยเท้าคนเดินที่พงหญ้าด้านหลังสถานีตำรวจภูธรตำบลบางศรีเมืองอีกด้วย นอกจากนี้จำเลยก็มิได้นำสืบใบมอบอำนาจที่จำเลยอ้างว่านายอดิเรกเจ้าของรถมอบอำนาจให้มาถอดชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์หรือนำเจ้าพนักงานตำรวจที่จำเลยแสดงใบมอบอำนาจดังกล่าวมาเบิกความสนับสนุน ทั้งรถจักรยานยนต์ของกลางก็ยังอยู่ในความครอบครองของเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งนายอดิเรกก็จะอนุญาตให้ถอดชิ้นส่วนรถไปไม่ได้โดยพลการข้ออ้างของจำเลยจึงฟังไม่ขึ้น ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ จึงฟังได้ว่าจำเลยเข้าไปถอดชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ของกลางในเวลาประมาณ 2 นาฬิกา โดยเข้าและออกทางด้านหลังของสถานีตำรวจภูธรตำบลบางศรีเมืองตามคำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวน พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตแม้นายอดิเรกจะทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยรับรถจักรยานยนต์ของกลางตามเอกสารหมาย ล.5 ก็เป็นเวลาภายหลังเกิดเหตุแล้วไม่ทำให้จำเลยพ้นความผิดไปได้ จำเลยจึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ตามฟ้อง ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษนั้น เห็นว่า จำเลยประกอบอาชีพเป็นหลักแหล่งและไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน การจำคุกระยะสั้นไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ในทางแก้ไขผู้ต้องโทษให้กลับตัวเป็นคนดี ยังส่งผลให้ผู้ต้องโทษมีประวัติเสื่อมเสีย กรณีจึงมีเหตุสมควรให้โอกาสจำเลยได้กลับตัวเป็นพลเมืองดี ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย แต่เพื่อให้จำเลยหลาบจำจึงให้ลงโทษปรับจำเลยอีกสถานหนึ่งและเพื่อไม่ให้จำเลยหวนกลับไปกระทำความผิดซ้ำอีก จึงให้คุมความประพฤติจำเลยไว้ด้วยฎีกาของจำเลยฟังขึ้นเป็นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษปรับจำเลยอีกสถานหนึ่งเป็นเงิน 6,000 บาท ลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 แล้ว คงปรับ 4,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 และให้คุมความประพฤติจำเลยโดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมความประพฤติ 4 เดือนต่อครั้ง ตลอดระยะเวลาที่ศาลรอการลงโทษไว้กับให้กระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควรมีกำหนด 30 ชั่วโมง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2