แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ 5,000 บาท แม้โจทก์จะกล่าวมาในฟ้องด้วยว่า หากโจทก์จะให้ผู้อื่นเช่าในปัจจุบันจะได้ค่าเช่าไม่น้อยกว่าเดือนละ 6,000 บาทซึ่งโจทก์ใช้เป็นเกณฑ์คำนวณในการเรียกร้องเอาค่าเสียหายจำนวนเงิน 6,000 บาทนั้น ก็ไม่ใช่ค่าเช่าของอสังหาริมทรัพย์ในขณะยื่นคำฟ้อง เพราะเป็นแต่อาจให้เช่าได้ในอัตราดังกล่าวเท่านั้น เมื่อศาลอุทธรณ์เพียงแต่แก้ไขเล็กน้อย คู่ความจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ในข้อที่ว่าโจทก์ตกลงให้จำเลยเช่าอาคารพิพาทต่อไปโดยไม่มีกำหนดเวลา มีข้อเท็จจริงพอให้วินิจฉัยปัญหานี้ได้โดยไม่จำต้องสืบพยานที่เหลือต่อไปดังที่จำเลยขอสืบ ที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานจำเลยต่อไปนั้นชอบแล้ว ที่จำเลยฎีกาว่าข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ยังไม่น่าจะฟังเป็นยุติได้แล้ว สมควรให้จำเลยได้เสนอพยานหลักฐานต่อไป ดังนี้เป็นการโต้เถียงดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ที่วินิจฉัยว่าพยานหลักฐานเท่าที่ได้สืบกันไปแล้วเป็นการเพียงพอที่จะวินิจฉัยข้อเท็จจริงข้อนี้ได้แล้ว จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้าม
สามีโจทก์ทำหนังสือให้โจทก์มีข้อความว่า สามีโจทก์ยินยอมอนุญาตให้โจทก์ฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยต่อศาลแพ่ง การให้ความยินยอมเช่นนี้ย่อมมีความหมายว่ายินยอมตลอดถึงการแต่งตั้งทนายความให้ฟ้องและดำเนินกระบวนพิจารณาอื่น ๆ เกี่ยวกับคดีนั้นด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเช่าตึกแถวพิพาทจากโจทก์มีกำหนด 1 ปี อัตราค่าเช่าเดือนละ 4,000 บาท ก่อนครบกำหนดโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยและบริวารออกจากตึกแถวทันทีที่ครบกำหนดอายุสัญญาเช่า เมื่อครบกำหนดอายุสัญญาเช่า จำเลยกับบริวารยังอยู่เรื่อยมา ตึกแถวพิพาทอยู่ในทำเลการค้า หากโจทก์ให้ผู้อื่นเช่าจะได้ค่าเช่าไม่น้อยกว่าเดือนละ 6,000 บาท ขอให้ขับไล่จำเลยกับบริวารออกไปจากตึกแถวดังกล่าว
จำเลยให้การว่า เมื่อครบกำหนดตามสัญญาแล้ว โจทก์จำเลยตกลงเช่ากันต่อไปโดยไม่มีกำหนดระยะเวลา โจทก์ไม่เคยบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกจากตึกแถวพิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายนับแต่วันที่ 1พฤศจิกายน 2520
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้เป็นคดีฟ้องขับไล่จำเลยผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าตามสัญญาเช่าเดือนละ 4,000 บาท ซึ่งถือได้ว่ามีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ 5,000 บาท แม้โจทก์จะกล่าวมาในฟ้องด้วยว่า หากโจทก์จะให้ผู้อื่นเช่าในปัจจุบันจะได้ค่าเช่าไม่น้อยกว่าเดือนละ 6,000 บาท และโจทก์ใช้เป็นเกณฑ์คำนวณในการเรียกร้องเอาค่าเสียหายไปตามอัตรานั้น จำนวนเงิน 6,000 บาท นั้นก็ไม่ใช่ค่าเช่าของอสังหาริมทรัพย์ในขณะยื่นคำฟ้อง เพราะเป็นแต่อาจให้เช่าได้ในอัตราดังกล่าวเท่านั้น เมื่อศาลอุทธรณ์เพียงแต่พิพากษาแก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นเพียงเล็กน้อย คู่ความจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
ฎีกาข้อแรกของจำเลยเป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานจำเลยศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยแถลงขอสืบพยานจำเลยอีก 3 ปาก ในข้อที่ว่าโจทก์ตกลงให้จำเลยเช่าอาคารพิพาทต่อไปโดยไม่มีกำหนดระยะเวลา แต่มีข้อเท็จจริงพอให้วินิจฉัยปัญหานี้ได้โดยไม่จำต้องสืบพยานที่เหลือต่อไปศาลอุทธรณ์จึงเห็นว่าที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานจำเลยต่อไปนั้นชอบแล้วจำเลยฎีกาว่าข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ยังไม่น่าจะฟังเป็นยุติได้แล้วดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย สมควรให้จำเลยได้เสนอพยานหลักฐานต่อศาลต่อไป ฎีกาจำเลยดังนี้เป็นการโต้เถียงดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ซึ่งเห็นพ้องกับศาลชั้นต้นว่า พยานหลักฐานเท่าที่ได้นำสืบกันไปแล้วนั้นเพียงพอที่จะวินิจฉัยข้อเท็จจริงข้อนี้ได้แล้วจึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้าม ศาลฎีการับวินิจฉัยให้ไม่ได้
จำเลยฎีกาว่า เมื่อสามีโจทก์มิได้ยินยอมอนุญาตไว้โดยชัดแจ้ง โจทก์ก็ไม่มีอำนาจแต่งตั้งทนายความให้ฟ้องคดีนี้ ข้อนี้ปรากฏว่านายสิทธิ์สามีโจทก์ได้ทำหนังสือหมาย จ.2 ให้โจทก์ ความว่า นายสิทธิ์ยินยอมอนุญาตให้โจทก์ฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยต่อศาลแพ่งได้ อันการให้ความยินยอมให้ภริยาฟ้องคดีเช่นนี้ ย่อมมิได้หมายความเพียงว่ายินยอมให้ภริยาฟ้องคดีและดำเนินกระบวนพิจารณาอื่น ๆ ด้วยตนเองเท่านั้น แต่มีความหมายว่ายินยอมตลอดถึงการแต่งตั้งทนายความให้ฟ้องและดำเนินกระบวนพิจารณาอื่น ๆ เกี่ยวกับคดีนั้นด้วย
พิพากษายืน