แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยกู้เงินโจทก์ไป แล้วตกลงกันว่าเมื่อถึงกำหนดชำระในสัญญาจำเลยไม่ชำระให้โจทก์โอนที่ 2 แปลงไปเป็นของโจทก์ตกลงกันแล้วจำเลยได้มอบที่ 2 แปลงพร้อมด้วยตราจอง และเซ็นใบมอบอำนาจไว้ในกระดาษเปล่าให้โจทก์กรอกข้อความเอาเอง เพื่อโอนที่เป็นของโจทก์หรือของใครตามที่โจทก์ต้องการ ครั้นถึงกำหนดชำระ จำเลยไม่ชำระเงินตามสัญญา โจทก์จึงจัดการโอนที่ 2 แปลงใส่ชื่อภรรยาโจทก์และเข้าครอบครอง เช่นนี้ ถือได้ว่าเจ้าหนี้ยอมรับหนี้อย่างอื่นแทน นับว่าเป็นการสมบูรณ์แล้ว หนี้สินที่จำเลยกู้ โจทก์มาย่อมระงับไป และกรณีไม่เข้ามาตรา 656 เพราะไม่มีใครฟ้องร้องขอให้บังคับตามข้อตกลงนั้น.
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้กู้เงินไป ๓ คราวเป็นเงิน ๕๗,๐๐๐ บาท ติดค้างดอก ๒๒,๐๐๐ บาท ได้ทวงถามแล้วจำเลยก็ไม่จัดการใช้ จึงฟ้องขอให้ศาลบังคับ
จำเลยต่อสู้ว่าได้กู้เงินครั้งที่ ๑ ครั้งที่ ๒ ไป รวม ๕๐,๐๐๐ บาทจริง แต่ได้มอบตราจอง ๒ ฉบับไว้แก่โจทก์ ที่นี้เป็นของจำเลยแต่เอาชื่อนางสาวบุญสมบุตรลงไว้ในตราจอง ในการมอบตราจองทั้งสองนี้ไว้ โจทก์ได้ให้จำเลยเซ็นใบมอบฉันทะตั้งตัวแทนไว้ โดยมิได้กรอกข้อความไว้ให้โจทก์ โดยตกลงกันว่าถ้าจำเลยไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ตามสัญญา โจทก์ชอบที่จะกรอกข้อความในใบมอบฉันทะโอนตราจองเอาเองตามพอใจ แล้วไปจัดการโอนตราจองที่หอทะเบียนที่ตน เป็นการซื้อเอาที่ดินของจำเลยหักกลบลบหนี้เงินที่จำเลยเป็นลูกหนี้ทั้งหมดได้ จำเลยได้ให้นางสาวบุญสมเซ็นชื่อในใบมอบฉันทะมอบให้โจทก์ไปพร้อมกับตราจอง ๒ ฉบับนั้น ต่อมาเมื่อ ๒๔ เมษายน ๒๔๙๕ โจทก์ได้จัดการโอนชื่อกรรมสืทธิ์ – ในตราจอง ๒ ฉบับนั้นเป็นการโอนขายให้นางฝืนภรรยาของโจทก์ไปเสร็จแล้วโดยมิได้บอกให้จำเลยทราบ และโจทก์ยังทำกลฉ้อฉลให้จำเลยหลงเข้าใจผิด จำเลยจึงทำสัญญากู้ฉบับหลังจำนวนเงิน ๗,๐๐๐ บาท สำหรับดอกเบี้ยที่ค้างชำระให้โจทก์ยึดถือไว้โดยจำเลยไม่ได้รับเงินเพิ่มเติมประการใด จำเลยถือว่าหนี้สินตามสัญญากู้ ๓ ฉบับระงับสิ้นไปแล้ว โดยการที่โจทก์โอนเอาที่ดินของจำเลยหักกลบลบหนี้ไปดังกล่าวแล้วจึงขอให้ศาลยกฟ้อง
ศาลขั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้โจทก์ชนะคดี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชนะคดี
โจทก์ฏีกา
ศาลฏีกาวินิจฉัยว่าประเด็นที่โต้เถียงกันขึ้นมาถึงศาลฏีกามีประการเดียวคือ การที่โจทก์เอาที่ดิน ๒ ตราจองของนางสาวบุญสมโอนขายไปนั้น เป็นการเพื่อชำระหนี้เงินกู้ตามที่จำเลยกล่าวอ้าง หรือว่าโอนไปเพื่อเป็นประกันเงินกู้ตามที่โจทก์นำสืบมานั้น ซึ่งศาลฏีกาเห็นว่าพฤติการณ์ของโจทก์แสดงว่าโจทก์โอนที่นาของจำเลยไปเพื่อเป็นการชำระหนี้เงินกู้สมดั่งจำเลยต่อสู้ กรณีต้องบังคับตามประมวลแพ่งฯ มาตรา ๓๒๑ หนี้สินตามสัญญากู้เงินยอมระงับไป และกรณีไม่เกี่ยวกับมาตรา ๖๒๖ เพราะไม่มีใครฟ้องร้องขอให้ศาลบังคับตามข้อตกลงเช่นว่านั้น และไม่มีใครกล่าวอ้างในเรื่องข้อตกลงเป็นโมฆะประการใด จึงพิพากษายันตามศาลอุทธรณ์.