คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1473/2517

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินที่จำเลยเช่าจากโจทก์และให้ใช้ค่าเสียหาย จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์จึงยึดพืชผลที่จำเลยปลูกในที่ดินนั้นที่ผู้ร้องขัดทรัพย์ฎีกาว่าที่ดินที่ปลูกพืชผลเป็นของผู้ร้องมิใช่ที่ดินที่จำเลยเช่าจากโจทก์ หาเป็นประเด็นในคดีร้องขัดทรัพย์ไม่

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินที่จำเลยเช่าจากโจทก์และให้ใช้ค่าเสียหาย จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาโจทก์จึงยึดทรัพย์ของจำเลยเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้

ผู้ร้องร้องขัดทรัพย์ว่า ทรัพย์ที่โจทก์นำยึดมาทั้งหมด 5 อันดับ คือ (1) โครงบ้านไม่มีเลขที่ มีเสา 10 ต้น หลังคามุงจากเก่า ๆ ราคา 50 บาท (2) ต้นมันสำปะหลังปลูกในเนื้อที่ประมาณ 14 ไร่ 2 งาน ราคา 6,000 บาท (3) ต้นกล้วยไข่ตกลูกแล้วประมาณ 200 กว่าต้น ปลูกอยู่ในเนื้อที่ประมาณ 2 งาน ราคา 500 บาท (4) ต้นมะม่วงตกลูกแล้ว 3 ต้น ยังไม่ตกลูก 2 ต้น ต้นขนุนตกลูกแล้ว 12 ต้น ต้นน้อยหน่าตกลูกแล้ว 20 ต้น ต้นนุ่นตกลูกแล้ว 5 ต้น ราคา 500 บาท (5) ถั่วเขียวอายุประมาณ 1 เดือน ปลูกในเนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ ราคา 200 บาท รวมราคา 7,250 บาท เป็นของผู้ร้องทั้งสิ้นโดยปลูกอยู่ในที่ดินที่ผู้ร้องมีสิทธิครอบครองไม่ใช่ทรัพย์สินของจำเลย ทั้งผู้ร้องมีอาชีพเป็นกสิกร โจทก์ไม่มีอำนาจยึดทรัพย์นี้ ขอให้ปล่อยทรัพย์สินของผู้ร้อง

โจทก์ให้การว่า ทรัพย์สินที่โจทก์นำยึดมาเป็นของจำเลยผู้ร้องเป็นเพียงบริวารของจำเลย ไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้องเป็นเจ้าของกับทรัพย์สินเหล่านี้ ผู้ร้องไม่มีสิทธิโดยชอบตามกฎหมาย ขอให้ยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว ฟังว่าที่ดินที่จำเลยเช่าอยู่เป็นของโจทก์ผู้ร้องเป็นบริวารของจำเลย พืชผลตามที่ยึดมาเป็นของจำเลย ผู้ร้องมิใช่เจ้าของ จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้องให้ผู้ร้องเสียค่าธรรมเนียมและค่าทนายความ 200 บาทแทนโจทก์

ผู้ร้องขัดทรัพย์อุทธรณ์คำสั่ง

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้ผู้ร้องใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 100 บาทแทนโจทก์

ผู้ร้องขัดทรัพย์ฎีกา

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว

คดีมีปัญหามาสู่ศาลฎีกาว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของทรัพย์ที่ยึดหรือไม่

ผู้ร้องนำสืบว่า ผู้ร้องเป็นบุตรนางทิพย์จำเลย ทรัพย์สินที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องได้เข้าครอบครองที่ดินประมาณ 10 ปี มาแล้ว จำเลยและน้องมาอยู่ร่วมกับผู้ร้องเมื่อประมาณ 8 ปีมาแล้วโดยจำเลยมาช่วยเลี้ยงลูกและเฝ้าบ้านให้ ผู้ร้องเป็นคนปลูกบ้านในที่ดินดังกล่าว จำเลยไปเช่าที่ดินของโจทก์ประมาณ 4 ปีมาแล้ว เมื่อพนักงานสอบสวนไปดูที่พิพาทที่ผู้ร้องแจ้งความว่าโจทก์บุกรุกที่ดินเมื่อ พ.ศ. 2514 ก็เห็นมีการปลูกพืชผลในที่พิพาทแล้ว

โจทก์นำสืบว่า จำเลยเป็นคนเช่าที่ดินของโจทก์เพื่อปลูกพืชผลเมื่อ 10 ปีมาแล้ว และได้ปลูกบ้านที่พิพาทขึ้นในที่ดินที่เช่าด้วยพืชผลในที่ดินจำเลยเป็นเจ้าของ โดยจำเลยและสามีเป็นคนปลูกผู้ร้องมาช่วยทำไร่กับจำเลยซึ่งเป็นมารดาเมื่อปลายปี พ.ศ. 2513 และได้ช่วยจำเลยปลูกบ้านขึ้น หาได้เข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์ที่ยึดนี้ไม่

พิจารณาแล้ว ทรัพย์ที่ยึดอันดับ (1) ผู้ร้องนำสืบฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของบ้านที่โจทก์ยึดมานี้ โจทก์มีนายไหว สีลมเป็นพยานเบิกความว่าจำเลยเป็นคนปลูกขึ้นเอง ผู้ร้องเพียงเป็นคนช่วยปลูกบ้านนี้ทั้งยังเบิกความอีกว่า ผู้ร้องไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย ทรัพย์อันดับ (1) จึงฟังไม่ได้ว่าเป็นของผู้ร้อง ส่วนทรัพย์อันดับ (2) ถึง (5) ก็เช่นเดียวกัน ผู้ร้องนำสืบฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องเป็นคนปลูกไว้ ยิ่งกว่านั้นจำเลยยังเบิกความในคดีเดิมว่าพืชผลจำเลยเป็นคนปลูกในที่ดินที่จำเลยเช่าจากโจทก์ ผู้ร้องเพียงมาช่วยทำไร่ให้เท่านั้น ทรัพย์ที่ผู้ร้องขอให้ปล่อยจากการยึดทรัพย์ผู้ร้องนำสืบฟังไม่ได้ว่าเป็นของผู้ร้อง ส่วนข้อที่ผู้ร้องฎีกาว่าที่ดินที่ปลูกพืชผลเป็นที่ดินที่ผู้ร้องมีสิทธิครอบครองไม่ใช่ที่ดินที่จำเลยเช่าจากโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้เป็นเรื่องขัดทรัพย์ว่าทรัพย์ที่อยู่บนที่ดินเป็นของผู้ร้องหรือไม่ไม่ใช่เรื่องพิพาทกันเกี่ยวกับที่ดิน จึงไม่เป็นประเด็นพิพาทกันในคดีนี้ ไม่จำต้องวินิจฉัย ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันให้ยกคำร้องขัดทรัพย์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน ให้ผู้ร้องเสียค่าทนายความชั้นฎีกา 150 บาทแทนโจทก์

Share