คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1470/2499

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ส่งสินค้าออกนอกราชอาณาจักรแล้วให้เอาเงินตราต่างประเทศที่ขายสินค้าได้มาขายให้แก่ธนาคารแห่งประเทศไทยนั้นเป็นนโยบายของรัฐบาลที่จะได้เงินตราต่างประเทศใช้ซื้อของต่างประเทศจะถือว่าธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นพ่อค้าหรือผู้ทำการเป็นพ่อค้าไม่ได้ ดังนั้นจึงใช้อายุความ 2 ปี มาบังคับไม่ได้.

ย่อยาว

คดีโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ ๑,๒,๓,๔,๕ ร่วมกันรับผิดขายเงินตราต่างประเทศ ๑๑,๓๕๓ ปอนด์สเตอริงค์ ๑๐ ชิลลิง ๘ เพนนี ให้แก่ธนาคารแห่งประเทศไทยตัวแทนของโจทก์ โดยผ่านทางธนาคารรับอนุญาตหรือแก่โจทก์หากจำเลยไม่สามารถขายได้ให้ใช้ค่าเสียหาย ๑ ปอนด์สเตอร์ลิงค์ละ ๓๖.๕๕ บาทรวม ๔๑๕,๓๔๓.๐๒ บาทแก่ธนาคารแห่งประเทศไทยตัวแทนของโจทก์หรือแก่โจทก์ให้จำเลยที่ ๖ ผู้ค้ำประกัน ๗ ฉบับใช้เงิน ๑๑๒,๖๐๘ บ. แก่ธนาคารแห่งประเทศไทยตัวแทนของโจทก์หรือแก่โจทก์ เมื่อจำเลยที่ ๑,๒,๓,๔,๕ ไม่ขายเงิน ๒๘๑๕๘ ปอนด์สเตอร์ลิงค์ ๔ ชิลลิง ตามฟ้อง ให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียม ค่าทนายแทนโจทก์ด้วย
จำเลยที่ ๑,๒ ให้การปฎิเสธความรับผิดขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ – ๕ ต่อสู้ว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม กฎกระทรวง (ฉบับที่ ๔) ไม่อาจใช้บังคับจำเลย จำเลยไม่ทราบว่าโจทก์แต่งตั้งเจ้าพนักงานและตัวแทนหรือไม่ บริษัทฮ่วยอิ๊วไม่เคยขอและรับอนุญาตส่งของ ๓๖ ครั้ง เป็นเงินดังฟ้องไม่เคยทำสัญญารังรองจะขายเงิน ไม่เคยได้รับเงินตราต่างประเทศและเคยส่งของไปซึ่งไม่ใช่เงินปอนด์สเตอร์ลิงค์ สัญญาเป็นโมฆะ ผู้ฝ่าฝืนมีโทษทางอาญาเท่านั้น แต่คดีก็ขาดอายุความแล้วเรียกค่าเสียหายไม่ได้ แม้จะเรียกได้ก็ไม่ถึงที่ฟ้อง โจทก์ไม่ได้ทวงถามก่อน ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๖ ให้การว่าได้ค้ำประกัน ๗ ฉบับตามเอกสารท้ายฟ้องจริง นายอักษร คุณวัฒน์บริษัทฮ่วยอิ๊วจะเสนอขายหรือไม่จำเลยไม่ทราบ โจทก์ให้เวลาจำเลยส่วนบริษัทฮวยอิ๊วน้อยเกินไปไม่พอติดต่อดำเนินการ โจทก์ด่วนฟ้องจำเลยไม่หลีกเลี่ยงความรับผิดและไม่ควรรับผิดในค่าธรรมเนียม
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๕ ขายเงินปอนด์สเตอร์ลิงค์รวม ๑๑,๓๕๓ ปอนด์สเตอร์ลิงค์ ๑๐ ชิลลิง ๘ เพนนี ให้โจทก์หรือธนาคารแห่งประเทศไทยตัวแทนของโจทก์ราคาปอนด์สเตอร์ลิงค์ละ ๓๕ บาท ถ้าไม่ขายเงินเฉพาะตามใบอนุญาตตามสำเนาใบค้ำประกันท้ายฟ้องรวม ๒๑๘๕ ปอนด์สเตอร์ลิงค์ ๔ ชิลลิง ก็ให้จำเลยที่ ๖ รับผิดใช้เงิน ๑๑๒,๖๐๘ บาทแทน
จำเลยที่ ๓ และที่ ๕ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๓ ที่ ๕ ฎีกาขึ้นมา ตั้งประเด็น ๓ ข้อ คือ ๑.ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ๒.คดีขาดอายุความ ๓.เอกสารที่จำเลยที่ ๑ ทำไว้ใช้บังคับจำเลยอื่นไม่ได้
ศาลฎีกาฟังความแถงฝ่ายจำเลยแล้ว ในประเด็นข้อแรกที่ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เห็นว่าหลักฐานที่โจทก์กล่าวในฟ้องจำเลยย่อมเข้าใจคำฟ้องได้ดีแล้วไม่มีทางเสียเปรียบในการต่อสู้คดีอย่างใดเลย
ในประเด็นข้อ ๒,๓ ที่ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความและศาลไม่ควรรับฟังเอกสารซึ่งจำเลยที่ ๑ ทำไว้มาผูกพันจำเลยอื่นนั้น
ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยที่ ๑ ได้ให้ถ้อยคำรับรองดังปรากฏในเอกสารหมาย จ.๒ แล้วถือได้ว่าถ้อยคำที่จำเลยรับสารภาพหนี้โดยชัดตาม ป.พ.พ. ม.๑๗๒ จำเลยฎีกาด้วยว่าโจทก์มิได้กล่าวในฟ้องถึงการรับสารภาพหนี้ ศาลไม่ควบรับฟังเอกสารรับสภาพหนี้นั้นก็ปรากฏในรายงานชี้สองสถานลงวันที่ ๑๙ พ.ค.๙๗ ว่าจำเลยยอมรับเอกสารหมาย จ.๒ แล้ว ศาลชอบที่จะรับไว้วินิจฉัยได้ ไม่ผิดกระบวนวิธีพิจารณา
ส่วนข้อที่จำเลยฎีกาว่าคดีนี้มีอายุความเพียง ๒ ปี เพราะธนาคารแห่งประเทศไทยทำการอย่างพ่อค้านั้น เห็นว่าการที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ส่งสินค้าออกนอกราชอาณาจักรแล้วให้เอาเงินตราต่างประเทศที่ขายสินค้าได้เข้ามาขายให้แก่ธนาคารแห่งประเทศไทยนั้น เป็นนโยบายของรัฐบาลที่จะได้เงินตราต่างประเทศมาใช้ซื้อของต่างประเทศจะถือว่าธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นพ่อค้าหรือทำการเป็นพ่อค้าไม่ได้
ส่วนที่ว่าเอกสารที่จำเลยที่ ๑ ทำไว้ไม่ผูกพันจำเลย เห็นว่าจำเลยที่ ๑ ให้ถ้อยคำรับรองเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์หรือในกิจธุระของบริษัทนั้นเอง จำเลยจะปลีกตัวให้พ้นความผิดมิได้ และที่อ้างว่าผู้จัดการบริษัททำเอกสารเป็นส่วนตัวจำเลยก็มิได้สืบแสดงให้เห็นเป็นเช่นนั้น
เหตุนี้จึงเห็นว่า ศาลล่างทั้งสองพิพากษามาชอบแล้ว ศาลนี้จึงพิพากษายืน.

Share