แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 เป็นคนเดินแซกเข้าไปลักปากกาจากกระเป๋าเสื้อเจ้าทรัพย์พาหนีไป จำเลยที่ 2 เดินเข้ามาชนกระแทกไหล่เจ้าทรัพย์เซไป แล้วเดินตามไปด้วยกันและถูกจับพร้อมกันในขณะที่เดินไปด้วยกันดังนี้ เพียงพอที่จะชี้ได้ว่า การที่จำเลยที่ 2 ใช้กำลังกายกระแทกไหล่เจ้าทรัพย์ให้เซไปก็เพื่อหน่วงเหนี่ยวการติดตามของเจ้าทรัพย์ให้ช้ลงโดยประสงค์ให้เป็นความสดวกในการที่จำเลยที่ 1 จะพาทรัพย์ที่ลักไปจากเจ้าทรัพย์หนีไปให้พ้นและเพื่อให้จำเลยที่ 1 รอดพ้นอาญาสำหรับความผิดที่ได้กระทำลง และการใช้กำลังกายกระแทกไหล่ เป็นการใช้กำลังทำร้ายอย่างหนึ่ง จำเลยทั้งสองที่สมคบกันในการนี้ จึงต้องมีผิดฐานชิงทรัพย์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานสมคบกันชิงทรัพย์และมีอาวุธพาไปในถนนหลวงโดยไม่รู้ได้รับอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีผิดเพียงฐานลักทรัพย์ตามก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๒๙๓ ข้อ ๑-๗ ๑๑ และผิดฐานมีอาวุธในถนนหลวงตาม พ.ร.บ.แก้ไขเปลี่ยนแปลง ก.ม.ลักษณะอาญา ร.ศ.๑๒๙ มาตรา ๒ อีกกะทงหนึ่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า จำเลยผิดฐานชิงทรัพย์
ข้อเท็จจริงคงได้ความว่า จำเลยที่ ๑ เป็นคนเดิมแซกเข้าไปลักปากกาจากกระเป๋าเสื้อนายกมลพาหนีไปนายกมลออกเดินตามจะจับ จำเลยที่ ๒ เดินเข้ามาชนกระแทกไหล่นายกมลเซไป แล้วเดินตามไปด้วยกันดังนี้ เพียงพอที่จะชี้ได้ว่า การที่จำเลยที่ ๒ ใช้กำลังกายกระแทกไหล่เจ้าทรัพย์ให้เซ ก็เพื่อหน่วงเหนี่ยวการติดตามของเจ้าทรัพย์ให้ช้าลง โดยประสงค์ให้เป็นความสดวกในการที่จำเลยที่ ๑ จะพาทรัพย์ที่ลักไปจากเจ้าทรัพย์หนีไปให้พ้น และเพื่อให้จำเลยที่ ๑ รอดพ้นอาญาสำหรับความผิดที่กระทำลง และการใช้กำลังกายกระแทกไหล่เป็นการใช้กำลังกายทำร้ายอย่างหนึ่ง จำเลยทั้ง ๒ ที่สมคบกันในการนี้ จึงต้องมีผิดฐานชิงทรัพย์ตามหลักเกณฑ์ในก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๒๙๘ (๓) (๕) และการกระทำของจำเลยประกอบด้วยกระทำในเวลาค่ำคืนมีสาตราวุธและมีพวกจำเลยจึงต้องผิดตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๒๙๙
จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลล่างเฉพาะกะทงความผิดฐานลักทรัพย์เป็นว่าจำเลยผิดฐานชิงทรัพย์ตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๒๙๙