คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1459/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ขณะจำเลยที่ 1 ทำสัญญารับช่วงสัญญาเช่าซื้อต่อจากสามีซึ่งถึงแก่กรรมนั้น มีค่าเช่าซื้อที่ค้างส่งอยู่แล้วรวม 10 งวด การที่โจทก์ตกลงให้จำเลยที่ 1 ปฏิบัติตามสัญญาต่อไป เห็นได้ว่าโจทก์ไม่ประสงค์ที่จะบอกเลิกสัญญาเพราะเหตุผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ 10 งวดนั้นแล้วเมื่อจำเลยที่ 1 ทำสัญญารับช่วงสัญญาเช่าซื้อ แล้วผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้ออีกเพียง 1 งวด จึงไม่ใช่เป็นการผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อสองคราวติดกัน โจทก์ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญา และกลับเข้าครองทรัพย์สินนั้น พร้อมกับเรียกค่าใช้ทรัพย์สิน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 574และมาตรา 391 วรรคสาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2512 นายฟักสามีจำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถแทรกเตอร์ 1 คัน ราคา 94,600 บาทของโจทก์ ชำระเงินในวันทำสัญญา 25,000 บาท ที่เหลือแบ่งชำระเป็นงวด งวดละเดือน ครบกำหนดงวดสุดท้ายวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2514 โดยจำเลยที่ 3 เป็นผู้ทำสัญญาค้ำประกันการเช่าซื้อ นายฟักชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์เพียง 6 งวด เป็นเงิน 17,400 บาท แล้วไม่ชำระอีกจนกระทั่งนายฟักถึงแก่กรรม จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญารับช่วงการเช่าซื้อกับโจทก์เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2513 โดยจำเลยที่ 1 ตกลงรับผิดชดใช้หนี้ที่เกิดเนื่องแต่สัญญาเช่าซื้อ นับแต่นายฟักสามีเช่าซื้อไปจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ทำสัญญาเป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์ โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อและเอารถแทรกเตอร์คืนไป นายฟักและจำเลยที่ 1 ครอบครองใช้รถแทรกเตอร์ของโจทก์ 11 เดือน ทำให้โจทก์ขาดประโยชน์เดือนละ 5,000 บาท เป็นเงิน 55,000 บาท รถแทรกเตอร์ที่โจทก์รับคืนมาได้รับความเสียหายมาก เป็นค่าเสียหายที่เกิดขึ้นนอกเหนือจากการใช้รถโดยชอบร่วมอยู่ด้วยเป็นเงิน 14,131 บาท โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยรวมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 69,131 บาท ให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยที่ 1 และที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การ

จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยค้างชำระค่าเช่าซื้อ นับแต่จำเลยที่ 1 รับช่วงการเช่าซื้อมารถแทรกเตอร์ของโจทก์เสียใช้การไม่ได้จำเลยที่ 1 ขอซื้อเครื่องอะไหล่จากโจทก์ โจทก์ให้รอที่สั่งจากต่างประเทศและระหว่างนั้นยอมให้จำเลยที่ 1 ไม่ต้องชำระค่าเช่าซื้อ แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ได้เครื่องอะไหล่และซ่อมเสร็จแล้ว โจทก์ยึดเอารถแทรกเตอร์คืนไป จำเลยที่ 3ค้ำประกันนายฟักเท่านั้น เมื่อเปลี่ยนเป็นจำเลยที่ 1 เป็นผู้เช่าซื้อ สัญญาค้ำประกันเดิมเป็นอันยกเลิก จำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 3 และที่ 4 ในฐานะตัวแทนและในฐานะกรรมการของบริษัทจำเลยที่ 2 ค้ำประกันจำเลยที่ 1 มิได้กระทำโดยส่วนตัว จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดในฐานะส่วนตัว เมื่อโจทก์ยอมให้ยุติการชำระเงินค่างวดยอมผ่อนเวลาให้จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ได้ตกลงด้วย จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงพ้นความรับผิดโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายและค่าขาดประโยชน์ค่าขาดประโยชน์ของโจทก์ต้องไม่เกินค่าเช่าซื้อแต่ละงวด และหากเสียหายก็ไม่เกิน 1,000 บาท โจทก์ได้รับรถแทรกเตอร์คืนไปในสภาพที่ซ่อมดีแล้ว หากโจทก์จะซ่อมก็ไม่เกิน 500 บาท ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและขาดอายุความโจทก์มิได้บอกกล่าวให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ทราบก่อนฟ้อง จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้องโจทก์

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม จำเลยที่ 1 ทำสัญญารับช่วงสัญญาเช่าซื้อจากนายฟักสามี แล้วไม่ได้ชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์เลยบริษัทจำเลยที่ 2 เท่านั้นเป็นผู้ค้ำประกัน โจทก์ควรได้รับค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถแทรกเตอร์เดือนละ 1,000 บาท รวม 11 เดือน เป็นเงิน 11,000 บาท ค่าซ่อมรถเพราะการใช้รถนอกเหนือไปจากการใช้รถโดยชอบ 10,288 บาท รวมเป็นเงิน 21,288 บาท พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหาย 21,288 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ถ้าบังคับจำเลยที่ 1 ไม่ได้ ให้จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันชำระแทน ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 และที่ 4

จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ขณะจำเลยที่ 1 ทำสัญญารับช่วงสัญญาเช่าซื้อต่อจากนายฟักนั้น มีค่าเช่าซื้อที่ค้างส่งอยู่แล้วรวม 10 งวด การที่โจทก์ตกลงให้จำเลยที่ 1 ปฏิบัติตามสัญญาต่อไป เห็นได้ว่าโจทก์ไม่ประสงค์ที่จะบอกเลิกสัญญาเพราะเหตุผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ 10 งวดนั้นแล้ว ฉะนั้น นับแต่จำเลยที่ 1 ทำสัญญารับช่วงสัญญาเช่าซื้อแล้วผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้ออีกเพียง 1 งวด จึงมิใช่เป็นการผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อสองคราวติดกัน โจทก์ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและกลับเข้าครอบครองรถแทรกเตอร์พร้อมกับเรียกค่าใช้ทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 574 และ391 วรรคสาม

เมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญา โจทก์และจำเลยที่ 1 คงผูกพันกันอยู่ตามสัญญาเช่าซื้อ ซึ่งข้อ 3 ระบุว่าหากรถแทรกเตอร์เกิดชำรุดเสียหายและเครื่องยนต์ใช้ไม่ได้ด้วยประการหนึ่งประการใด ผู้ให้เช่าซื้อจะเป็นผู้ซ่อมแซมแก้ไขให้โดยผู้เช่าซื้อต้องออกค่าใช้จ่ายเองทั้งสิ้น ฉะนั้น เมื่อตามคำฟ้องปรากฏว่าโจทก์มิได้จัดการซ่อมแซมและมิได้เรียกค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมตามสัญญา จำเลยที่ 1 จึงยังไม่ต้องรับผิด ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันรับผิดตามฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาจำเลยฟังขึ้น

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share