แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาจ้างว่าความ ซึ่งมีใจความว่า จำเลยจ้างโจทก์ให้ว่าความสองสำนวนค่าจ้าง 750,000 บาท ชำระเมื่อศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยชนะ. ถ้าจำเลยแพ้ จำเลยไม่ต้องชำระค่าจ้างนี้. ถ้าจำเลยจะต้องเสียค่าไถ่ถอนที่ดินและค่าใช้จ่ายต่างๆ เกี่ยวกับคดีเท่าใด จำเลยลดเงินนี้หนึ่งในสามจากค่าจ้างได้. สัญญานี้ไม่ใช่สัญญาเข้าเป็นทนายว่าต่างแก้ต่างโดยวิธีสัญญาแบ่งเอาส่วนจากทรัพย์สินที่เป็นมูลพิพาท อันจะพึงได้แก่ลูกความ. จึงไม่ขัดกับพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ.2477มาตรา 12(2).
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องตามสัญญาจ้างว่าความซึ่งมีข้อความว่า จำเลยจ้างโจทก์ว่าความสองสำนวน ค่าจ้าง 750,000 บาท ถ้าจำเลยต้องเสียค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับคดี ให้เอามาหักจากเงินค่าจ้างนี้หนึ่งในสาม ถ้าจำเลยแพ้ความ ไม่ต้องชำระค่าจ้าง โจทก์ฟ้องเรียกเงิน 500,000 บาทโดยคิดหักค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับคดีของจำเลยออกแล้ว จำเลยให้การต่อสู้ไว้ข้อหนึ่งว่า สัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะเพราะขัดกับพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2477 มาตรา 12(2) ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้โจทก์ชนะเต็มตามฟ้อง จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ค่าจ้างว่าความกำหนดไว้ 750,000 บาทเป็นจำนวนแน่นอน ข้อที่ยอมให้เอาค่าใช้จ่ายต่าง ๆ มาหักออกจากเงินจำนวนนี้ได้นั้น ก็เป็นข้อที่ให้คุณแก่จำเลย ตามสัญญานี้จะถือว่าโจทก์เข้าเป็นทนายว่าต่างแก้ต่างโดยวิธีสัญญาแบ่งเอาส่วนจากทรัพย์สินที่เป็นมูลพิพาทอันจะพึงได้แก่ลูกความหาได้ไม่ สัญญาจึงไม่ขัดต่อพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2477 มาตรา 12(2) พิพากษายืน.