คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14493/2558

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

คำร้องของโจทก์ในคดีหมายเลขแดงที่ 2109/2549 ของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ เป็นการร้องขอให้บังคับชำระหนี้จำนองโดยอาศัยอำนาจของเจ้าหนี้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 289 ซึ่งเป็นเพียงให้สิทธิโจทก์ในการได้รับชำระหนี้จำนองก่อนเจ้าหนี้สามัญอื่น หากมีการขายทอดตลาดทรัพย์ที่จำนองเท่านั้น ส่วนคำฟ้องคดีนี้เป็นการฟ้องจำเลยในฐานะลูกหนี้สามัญตามสัญญากู้ยืมเงิน หาได้ฟ้องขอบังคับจำนองแก่ที่ดินที่จำนอง และฟ้องเฉพาะมูลหนี้ส่วนที่โจทก์ยังไม่ได้รับจากการขอรับชำระหนี้ตามคดีหมายเลขแดงที่ 2109/2549 ของศาลแพ่งกรุงเทพใต้เท่านั้น ซึ่งเป็นฟ้องคนละประเด็นกัน ดังนั้น จึงไม่ได้เป็นการวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุผลอย่างเดียวกันกับคำร้องของโจทก์ในคดีดังกล่าว ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2109/2549 ของศาลแพ่งกรุงเทพใต้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 355,141.80 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปี ของต้นเงิน 267,205.11 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภค
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2546 จำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์ 300,000 บาท โดยจำเลยนำที่ดินโฉนดเลขที่ 48493 ตำบลชากโคน อำเภอแกลง จังหวัดระยอง พร้อมสิ่งปลูกสร้างที่มีอยู่แล้ว และที่จะมีขึ้นต่อไปภายหน้า ไปจดทะเบียนจำนองเป็นประกันการชำระหนี้เงินกู้ดังกล่าว จำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ต่อมาวันที่ 13 พฤษภาคม 2552 ศาลแพ่งกรุงเทพใต้มีคำสั่งในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2109/2549 อนุญาตให้โจทก์มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองดังกล่าวเป็นเงิน 397,304.11 บาท ก่อนเจ้าหนี้รายอื่น แต่โจทก์ได้รับชำระหนี้เพียง 135,572 บาท โดยหักเป็นค่าใช้จ่ายในการยื่นคำขอรับชำระหนี้ 5,473 บาท คงได้รับชำระหนี้เพียง 130,099 บาท ซึ่งไม่ครบจำนวนหนี้ จำเลยไม่ได้ชำระส่วนที่ขาดเป็นเงิน 267,205.11 บาท เมื่อคดีดังกล่าวถึงที่สุดไปแล้วโจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยให้รับผิดตามสัญญากู้เป็นคดีนี้อีก โดยมิได้ขอบังคับจำนองด้วย
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคำร้องของโจทก์ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2109/2549 ของศาลแพ่งกรุงเทพใต้หรือไม่ เห็นว่า คำร้องของโจทก์ในคดีดังกล่าวเป็นการร้องขอให้บังคับชำระหนี้จำนองโดยอาศัยอำนาจของเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 ซึ่งเป็นเพียงให้สิทธิโจทก์ในการได้รับชำระหนี้จำนองก่อนเจ้าหนี้สามัญอื่น หากมีการขายทอดตลาดทรัพย์ที่จำนองเท่านั้น ส่วนคำฟ้องคดีนี้เป็นการฟ้องจำเลยในฐานะลูกหนี้สามัญตามสัญญากู้ยืมเงิน หาได้ฟ้องขอบังคับจำนองแก่ที่ดินที่จำนอง และฟ้องเฉพาะมูลหนี้ส่วนที่โจทก์ยังไม่ได้รับจากการขอรับชำระหนี้ตามคดีหมายเลขแดงที่ 2109/2549 ของศาลแพ่งกรุงเทพใต้เท่านั้น ซึ่งเป็นฟ้องคนละประเด็นกัน ดังนั้น จึงไม่ได้เป็นการวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุผลอย่างเดียวกันกับคำร้องของโจทก์ในคดีดังกล่าว ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2109/2549 ของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น และศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยถึงความรับผิดของจำเลยต่อโจทก์ไป โดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลล่างทั้งสองพิจารณาพิพากษาใหม่ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์ 300,000 บาท และจดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 48493 ตำบลชากโคน อำเภอแกลง จังหวัดระยอง พร้อมสิ่งปลูกสร้างที่มีอยู่และที่จะมีขึ้นต่อไปภายหน้า ไปจดทะเบียนจำนองเป็นประกันการชำระหนี้เงินกู้ ต่อมาจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ มีคำสั่งในคดีหมายเลขแดงที่ 2109/2549 อนุญาตให้โจทก์มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองเป็นเงิน 397,304.11 บาท ก่อนเจ้าหนี้รายอื่น แต่โจทก์ได้รับชำระหนี้เพียง 135,572 บาท โดยหักเป็นค่าใช้จ่ายในการยื่นคำขอรับชำระหนี้ 5,473 บาท คงได้รับชำระหนี้เพียง 130,099 บาท ซึ่งยังไม่ครบ จำเลยไม่ได้ชำระส่วนที่ขาดเป็นเงิน 267,205.11 บาท จำเลยจึงต้องรับผิดชำระเงิน 267,205.11 บาท พร้อมดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน 87,936.69 บาท รวมเป็นเงิน 355,141.80 บาท แก่โจทก์
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 355,141.80 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปี ของต้นเงิน 267,205.11 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 13 มกราคม 2554) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share