แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
จำเลยร่วมและจำเลยทั้งสองตกลงเข้ากันเพื่อกระทำกิจการจำหน่ายสินค้าที่ซื้อจากโจทก์ร่วมกัน โดยมีวัตถุประสงค์แบ่งปันผลกำไรระหว่างกัน จึงเข้าลักษณะสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญตาม ป.พ.พ. มาตรา 1012 แล้ว หาจำต้องทำสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญระหว่างจำเลยร่วมกับจำเลยทั้งสองไม่ การที่จำเลยทั้งสองร่วมกันสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์และเป็นหนี้ค่าสินค้าโจทก์เป็นการดำเนินการในฐานะหุ้นส่วน อันเป็นไปในทางที่เป็นธรรมดาการค้าขายของห้างหุ้นส่วนนั้น ดังนั้น จำเลยร่วมซึ่งเป็นหุ้นส่วน จึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยทั้งสองชำระหนี้ค่าสินค้าดังกล่าวให้แก่โจทก์ด้วย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1050
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 1,585,225.21 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,562,115.21 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้หมายเรียกนายเอนก เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
จำเลยร่วมให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 1,585,225.21 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 9 พฤศจิกายน 2555) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยร่วม ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยร่วมให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และจำเลยร่วม ร่วมกันชำระหนี้ค่าสินค้าให้แก่โจทก์ เป็นเงิน 1,551,995.58 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 29 สิงหาคม 2555 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 9 พฤศจิกายน 2555) ต้องไม่เกิน 23,110 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า โจทก์ประกอบธุรกิจจำหน่ายอาหารแช่แข็งโดยนำเข้าจากต่างประเทศมีจำเลยร่วมเป็นผู้จัดการฝ่ายขาย ส่วนจำเลยทั้งสองร่วมกันประกอบธุรกิจสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์และเป็นหนี้ค่าสินค้าโจทก์ 1,551,995.58 บาท
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยร่วมว่า จำเลยร่วมต้องร่วมรับผิดชำระหนี้ค่าสินค้าดังกล่าวให้แก่โจทก์หรือไม่ เมื่อพิจารณาพฤติการณ์ของจำเลยร่วมที่ให้ใช้บ้านเช่าเป็นสถานประกอบธุรกิจ ทั้งเป็นผู้ว่าจ้างนายบีทำหน้าที่ส่งมันฝรั่งอันเป็นการจัดการห้างหุ้นส่วน ประกอบกับตารางแสดงผลกำไรขาดทุนประจำเดือนเอกสารที่จำเลยร่วมเป็นผู้จัดทำปรากฏว่ามียอดค่าใช้จ่ายสำนักงาน เช่น ค่าน้ำมันรถ 8,000 บาท ค่าเช่าบ้านที่ใกล้สี่แยกเทพารักษ์ 6,800 บาท ทำให้น่าเชื่อว่าจำเลยร่วมและจำเลยทั้งสองตกลงเข้ากันเพื่อกระทำกิจการจำหน่ายสินค้าที่ซื้อจากโจทก์ร่วมกัน โดยมีวัตถุประสงค์แบ่งปันผลกำไรระหว่างกัน จึงเข้าลักษณะสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1012 แล้ว หาจำต้องทำสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญระหว่างจำเลยร่วมกับจำเลยทั้งสองดังที่จำเลยร่วมฎีกาไม่ การที่จำเลยทั้งสองร่วมกันสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์และเป็นหนี้ค่าสินค้าโจทก์ 1,551,995.58 บาท เป็นการดำเนินการในฐานะหุ้นส่วน อันเป็นไปในทางที่เป็นธรรมดาการค้าขายของห้างหุ้นส่วนนั้น ดังนั้น จำเลยร่วมซึ่งเป็นหุ้นส่วนจึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยทั้งสองชำระหนี้ค่าสินค้าดังกล่าวให้แก่โจทก์ด้วย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1050 ส่วนฎีกาประการอื่นของจำเลยร่วมไม่จำต้องวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยร่วมฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ