แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่โจทขอไห้สาลไต่สวนพยานที่สืบไว้แล้วไนคดีแพ่งและที่จะขอสืบไหม่ว่าคดีของโจทมีมูลนั้น สาลชั้นต้นหาชอบที่จะสั่งงดการไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากสายกฟ้องเสียไม่
คำพิพากสาไนคดีแพ่งย่อมไม่ตัดสิทธิโจทที่จะฟ้องคดีอาญาต่อไป
ย่อยาว
คดีนี้โจทฟ้องหาว่าจำเลยเบิกความเท็ดไนคดีแพ่งเลขดำที่ ๒๓๖/๒๔๐๔ ของสาลจังหวัดสุพรรนบุรี สาลชั้นต้นได้ฝั่งไห้งดไต่สวนพยานโจทโดยเห็นว่า ไนข้อที่โจทได้เสียพาสีบำรุงท้องถิ่นหรือไม่นั้น ตามคำนายแช่มประกอบด้วยต้นชั้วไบสำหรวดปรากดว่ามีจำนวน ๔ ไร่และความข้อนี้ตามคำพิพากสาไนคดีแพ่งก็ไม่ได้วินิฉัยถึงจึงไม่ไช่ข้อสำคัน ส่วนข้อที่ว่าที่พิพาทนี้โจทได้ละทิ้งหรือไม่นั้นพยานโจทจำเลยไนคดีแพ่งต่างไห้การโต้เถึยงกัน แต่สาลเชื่อว่าโจทได้ละทิ้งที่พิพาทจิง ฉะนั้นจะไห้ทั้งว่าจำเลยไห้การว่าโจทละทิ้งที่พิพาทเปนความเท็ดได้หย่างไร จึงพิพากสาว่าคดีโจทยังไม่มีมูล ไห้ยกเสีย
โจทอุธรน์สาลอุธรน์เห็นว่า สาลขั้นต้นดำเนินคดีรวบรัดเกินไปไม่ชอบด้วยประมวนกดหมายวิธีพิจารความอาญามาตรา ๑๖๒ จึงไห้ยกคำพิพากสาสาลขึ้นต้นและไห้สาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากสาหรือสั่งไหม่ตามประมวนกดหมายวิธีพิจารนาความอาญามาตรา ๒๐๘
จำเลยดีกาว่าคดีที่จำเลยเบิกความเปนพยานนั้น สาลชั้นต้นฟังข้อเท็ดจิงว่า โจทละทิ้งที่พิพาทจึงตามคำเบิกความของจำเลย จึงไม่เปนเท็ด
สาลดีกาเห็นว่าคำพิพากสาไนคดีแพ่งนั้นไม่ติดสิทธิโจทจะว่ากล่าวคดีอาญานี้ต่อไป และไหตดีนี้โจทขอไห้สาลไต่สวนพยานทั้งที่สืบไว้แล้วไนคดีแพ่งและที่จะขอสืบไหม่ว่า คดีของโจทมีมูล สาลชั้นต้นสั่งงดการไต่สวนแล้วพิพากสายกฟ้องหาชอบไม่ จึงพิพากสายืน