คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1437/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การรับเงินกินเปล่าเป็นส่วนหนึ่งของค่าเช่าตามสัญญาธรรมดาไม่เป็นเหตุที่จะบังคับให้โจทก์ต้องยอมให้จำเลยเช่าเกิน 3 ปี โดยไม่ต้องจดทะเบียน โจทก์บอกเลิกการเช่าได้ (อ้างฎีกาที่ 1325/2506)
โจทก์นำหนังสือบอกกล่าวเลิกการเช่าไปส่งให้จำเลย ไม่พบจำเลยจึงอ่านข้อความในหนังสือนั้นให้คนในร้านฟัง แล้วให้เซ็นรับ แต่ไม่มีคนยอมรับ จึงได้ทิ้งหนังสือไว้ที่ในร้านของจำเลย ดังนี้ ถือได้ว่าโจทก์ได้แสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาเช่าไปถึงจำเลยโดยชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเช่าตึกแถวของโจทก์ โจทก์บอกเลิกการเช่าแล้ว จำเลยก็ไม่ออก ขอให้ศาลบังคับ และให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย

จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะตึกยังมิได้โอนเป็นของโจทก์ เจ้าของร่วมมิได้มอบให้ฟ้อง จำเลยเสียเงินกินเปล่าไปแล้วในงวด 3 ปีแรก และยังมีข้อตกลงให้เช่าต่ออีก 3 ปี จำเลยไม่ได้รับหนังสือบอกเลิกการเช่า โจทก์ไม่มีสิทธิบอกเลิกการเช่าและฟ้องแย้ง ขอให้บังคับโจทก์ให้จำเลยเช่าตึกพิพาทต่อไปอีก 2 งวดจนครบสัญญาเช่า

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งตามฟ้องเดิมของโจทก์

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า เงินกินเปล่าไม่ใช่สิ่งตอบแทนอย่างอื่น นอกจากเป็นส่วนหนึ่งของค่าเช่าเป็นการเช่าตามสัญญา จำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวเลิกการเช่าแล้ว โจทก์เป็นเจ้าของร่วมและได้ซื้อตึกพิพาท จึงมีอำนาจฟ้อง ให้ขับไล่จำเลยและบริวาร และให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย ยกฟ้องแย้งจำเลย

จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์เป็นเจ้าของร่วม และได้ซื้อตึกพิพาทมาเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์แต่ผู้เดียว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง การรับเงินกินเปล่าเป็นเพียงส่วนหนึ่งของค่าเช่าตามสัญญาเช่าธรรมดา ไม่เป็นเหตุที่จะบังคับให้โจทก์ต้องยอมให้จำเลยเช่าเกิน 3 ปี โดยไม่ต้องจดทะเบียน ดังฎีกาที่ 1325/2506 โจทก์บอกเลิกการเช่าได้ โจทก์นำหนังสือบอกเลิกการเช่าไปส่งให้จำเลย ไม่พบจำเลย จึงอ่านข้อความในหนังสือนั้นให้คนในร้านฟัง แล้วให้เซ็นรับ ไม่มีคนยอมรับ จึงได้ทิ้งหนังสือไว้ที่ในร้านของจำเลย ดังนี้ ถือได้ว่าโจทก์ได้แสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาเช่าไปถึงจำเลยโดยชอบแล้ว

พิพากษายืน ยกฎีกาจำเลย

Share