คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1401-1402/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต้องยื่นรายการซึ่งจำต้อง ใช้ในการคำนวณภาษีเงินได้ตามแบบต่อเจ้าพนักงานประเมินพร้อมกับชำระภาษีภายใน 150 วันนับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีถ้าแบบที่ยื่นไว้แสดงรายการไม่ถูกต้อง ตามความจริงหรือไม่บริบูรณ์ทำให้จำนวนภาษีเงินได้ขาดไปก็ต้องถือว่าหนี้ค่าภาษีจำนวนที่ขาดไปนี้ถึงกำหนดชำระ ตั้งแต่วันที่ผู้เสียภาษีเงินได้มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร มิใช่ถึงกำหนดชำระเมื่อเจ้าพนักงานประเมินแจ้งให้ผู้เสียภาษีเงินได้ชำระค่าภาษี
อายุความเรียกร้องให้ชำระภาษีเงินได้ดังกล่าวเริ่มนับตั้งแต่วันที่ผู้เสียภาษียื่นรายการและชำระค่าภาษี ถ้ามิใช่ สิทธิเรียกร้องให้ชำระภายใน 10 ปีขาดอายุความ(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 31/2514)

ย่อยาว

คดีสองสำนวนศาลรวมการพิจารณาพิพากษา
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๔๙๖ หัวหน้าสารวัตร สรรพากรได้หมายเรียกเจ้าหน้าที่บริษัทโจทก์ไปทำการสอบสวนเกี่ยวกับภาษีเงินได้ของบริษัทโจทก์จำนวน พ.ศ. ๒๔๙๒, ๒๔๙๓, ๒๔๙๔, ๒๔๙๕ เมื่อสอบสวนแล้วเจ้าพนักงานประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลในเขตสรรพากรเขต ๙ มีหนังสือลงวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๔๙๗ แจ้งว่า ในรอบระยะเวลาบัญชี พ.ศ. ๒๔๙๔โจทก์ต้องชำระหนี้และเงินเพิ่มภาษีอีกเป็นเงิน ๕,๔๑๐,๕๘๑.๗๐ บาทในระยะเวลาบัญชีปี พ.ศ. ๒๔๙๕ โจทก์ต้องชำระภาษีเงินเพิ่มอีก รวมเป็นเงิน๓,๑๕๕,๐๑๖.๑๔ บาท
โจทก์อุทธรณ์ต่อผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาให้ลดเงินภาษีและเงินเพิ่มสำหรับปี พ.ศ. ๒๔๙๔ ลงคงให้เก็บเฉพาะเงินค่าภาษีเป็นเงิน ๗๐,๒๐๐ บาท ๒๘ สตางค์ แต่ให้เสียภาษีเพิ่มอีก ๒,๕๒๗,๙๕๓บาท ๕๒ สตางค์ สำหรับปี พ.ศ. ๒๔๙๕ ให้ปลดเงินภาษีและเงินเพิ่มที่พนักงานประเมินเรียกเก็บทั้งสิ้น แต่ให้เสียภาษีเพิ่มเติมอีก ๑,๐๑๓,๕๕๔.๖๙ บาท
โจทก์เห็นว่าโจทก์ควรเสียภาษีเพิ่มในระยะเวลาปีบัญชี ๒๔๙๔ เพียง๗๐,๒๐๐.๒๘ บาท และในระยะปีบัญชี ๒๔๙๕ ไม่ควรต้องเสียภาษีเพิ่มเลยจึงอุทธรณ์คำวินิจฉัยอุทธรณ์ต่อศาลจังหวัดสงขลา ศาลจังหวัดสงขลาพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาฎีกาที่ ๙๗๓/๒๕๐๖, ๙๗๔/๒๕๐๖
หลังจากศาลฎีกาพิพากษาแล้ว จำเลยที่ ๑ สั่งให้จำเลยที่ ๒ แจ้งไปยังโจทก์โดยหนังสือที่ ๙๑๓/๒๕๐๖ และ ๙๑๖/๒๕๐๖ ลงวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๐๖ให้โจทก์นำเงินภาษีเงินได้สำหรับปี พ.ศ. ๒๔๙๔ จำนวนเงิน ๒,๕๒๗,๙๕๓.๕๒ บาทและสำหรับปี พ.ศ. ๒๔๙๕ จำนวนเงิน ๑,๐๑๓,๕๕๔.๖๙ บาท ซึ่งศาลพิพากษาไปแล้วว่าไม่ต้องเสีย ไปชำระภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือ
โจทก์อุทธรณ์ต่อจำเลยที่ ๓ จำเลยที่ ๓ ส่งเรื่องไปให้จำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑สั่งให้จำเลยที่ ๓ ยกอุทธรณ์โจทก์ โจทก์จึงอุทธรณ์คำวินิจฉัยต่อศาล ขอให้ศาลพิพากษากลับคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๓ โดยให้โจทก์ไม่ต้องเสียภาษีเพิ่มเติมตามคำสั่งของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ทั้งสิทธิเรียกร้องของจำเลยขาดอายุความด้วย
จำเลยทั้งสามให้การทั้งสองสำนวนมีใจความว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ตามประมวลรัษฎากรให้อำนาจโจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๓เป็นการใช้สิทธิอุทธรณ์คำวินิจฉัยของจำเลยที่ ๓ ต่อศาลเท่านั้น คำสั่งของจำเลยที่ ๒ ลงวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๐๖ และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๓ชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยที่ ๒ มีหนังสือลงวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๔๙๗ ให้โจทก์ชำระค่าภาษีเงินได้ เนื่องจากโจทก์มียอดราคาขายเพิ่มขึ้น คำพิพากษาฎีกาที่ ๙๗๓-๙๗๔/๒๕๐๖ มิได้พิพากษาว่าโจทก์ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ จำเลยที่ ๒จึงมีคำสั่งให้โจทก์ชำระภาษี หาใช่เป็นการฝ่าฝืนคำพิพากษาไม่
หัวหน้าสารวัตรสรรพากรซึ่งเป็นเจ้าพนักงานประเมินภาษีมีหมายเรียกเจ้าหน้าที่โจทก์มาทำการสอบสวนแล้วแจ้งจำนวนเงินที่ต้องชำระอีกไปยังโจทก์ตามมาตรา ๒๐ ภายในกำหนด ๑๐ ปี นับแต่วันที่เจ้าพนักงานประเมินได้ออกหมายเรียก
การปฏิบัติการของเจ้าพนักงานตั้งแต่เรียกผู้แทนบริษัทโจทก์มาไต่สวนตามมาตรา ๑๙ เจ้าพนักงานประเมินมีคำสั่งให้โจทก์เสียภาษีเพิ่ม จนถึงเวลาที่มีการฟ้องร้องคดีในศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา ย่อมถือว่าเป็นการกระทำอื่นใดอันนับว่ามีผลเป็นอย่างเดียวกับการฟ้องคดีเพื่อตั้งหลักฐานสิทธิเรียกร้อง หรือเพื่อให้ใช้หนี้ตามที่เรียกร้องนั้น มีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๓ คำสั่งของจำเลยที่ ๒ ที่แจ้งให้โจทก์ชำระภาษีเพิ่มเติมจึงไม่ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ได้ โจทก์มีหน้าที่ต้องยื่นรายการและเสียภาษีสำหรับปี พ.ศ. ๒๔๙๔ ภายในวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๔๙๕และในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ ภายในวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๔๙๖ คดีทั้งสองสำนวนนี้เจ้าพนักงานประเมินภาษีได้ประเมินสั่งให้โจทก์เสียภาษีเมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม๒๕๐๖ ซึ่งนับจากวันที่โจทก์มีหน้าที่ยื่นรายการและเสียภาษีพ้นกำหนด ๑๐ ปีแล้วจำเลยหมดสิทธิเรียกร้องเพื่อเอาค่าภาษีรายนี้ การปฏิบัติการของเจ้าพนักงานที่หมายเรียกผู้แทนบริษัทโจทก์ให้นำบัญชีเอกสารมาตรวจสอบไต่สวนเจ้าพนักงานประเมินมีคำสั่งให้โจทก์ชำระภาษี ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลามีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ให้โจทก์เสียภาษีเพิ่มจนถึงระยะเวลาที่ได้มีการฟ้องคดีนี้ต่อศาล ไม่ใช่การกระทำอื่นใด อันนับว่ามีผลเป็นอย่างเดียวกับการฟ้องคดีเพื่อตั้งหลักฐานสิทธิเรียกร้อง หรือเพื่อใช้หนี้ตามที่เรียกร้องอันจะมีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดลง ประเด็นอื่นไม่จำเป็นต้องวินิจฉัย จึงพิพากษากลับคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๓ โดยให้โจทก์ไม่ต้องเสียภาษีเพิ่มตามคำสั่งของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ทั้งสองสำนวน
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน แต่ความเห็นแย้งว่าควรให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยประเด็นอื่นแล้วพิพากษาใหม่
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ฎีกา
ข้อเท็จจริงได้ความว่า วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีของบริษัทโจทก์คือ วันที่ ๓๑ ธันวาคม โจทก์มีหน้าที่ต้องยื่นรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้สำหรับปี พ.ศ. ๒๔๙๔ และปี พ.ศ. ๒๔๙๕ ภายใน ๑๕๐ วัน นับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี พร้อมกับชำระภาษีเงินได้ต่ออำเภอตามประมวลรัษฎากรมาตรา ๖๘, ๖๙ ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยมีว่า อายุความสิทธิเรียกร้องเพื่อเอาค่าภาษีรายพิพาทนี้ขาดอายุความหรือไม่
ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลทุกรายมีหน้าที่ต้องยื่นรายการที่จำเป็นต้องใช้ในการคำนวณภาษี พร้อมด้วยบัญชีต่าง ๆ ตามที่กฎหมายระบุไว้ต่อเจ้าพนักงานประเมินภายใน ๑๕๐ วันนับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีและถ้ามีกำไรสุทธิ ก็ต้องชำระเงินภาษีที่ต้องเสียต่ออำเภอพร้อมกับรายการที่ยื่นนั้นด้วย ดังบัญญัติไว้ในมาตรา ๖๕, ๖๘, ๖๙ ดังนี้ จะเห็นว่าหนี้ค่าภาษีเงินได้ถึงกำหนดชำระแล้วตั้งแต่วันที่ผู้ต้องเสียภาษีเงินได้มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร การที่ผู้ต้องเสียภาษีเงินได้ยื่นแบบแสดงรายการไม่ถูกต้องตามความจริง หรือไม่บริบูรณ์ ทำให้จำนวนเงินค่าภาษีขาดไป จะถือว่าหนี้ค่าภาษีเงินได้จำนวนที่ขาดไปเพิ่งจะถึงกำหนด เมื่อเจ้าพนักงานประเมินได้ทำการประเมินแล้วมีหนังสือแจ้งการประเมินไปให้ผู้ต้องเสียภาษีชำระเงินค่าภาษีเงินได้นั้นไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องอำนาจและวิธีการของเจ้าพนักงานประเมินจะดำเนินการตรวจตราเรียกเก็บภาษีเงินได้และเงินเพิ่มจากผู้มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้ ซึ่งหนี้นั้นถึงกำหนดชำระอยู่ก่อนแล้วตามรอบระยะเวลาบัญชี อายุความเรียกร้องให้ชำระหนี้จึงเริ่มนับแต่วันนั้นเป็นต้นไป
ภาษีเงินได้ตามที่จำเลยที่ ๒ แจ้งให้โจทก์นำไปชำระตามหนังสือลงวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๐๖ นั้น โจทก์มีหน้าที่ต้องชำระตั้งแต่วันถัดจากวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๔๙๕ และวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๔๙๖ อายุความเริ่มนับแต่วันดังกล่าว เมื่อจำเลยที่ ๒ เรียกร้องให้โจทก์นำเงินค่าภาษีเงินได้มาชำระเมื่อวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๐๖ เป็นเวลาเกินกว่า ๑๐ ปี นับแต่วันที่จำเลยที่ ๒ อาจใช้สิทธิเรียกร้องได้ สิทธิเรียกร้องของจำเลยขาดอายุความแล้ว
ที่จำเลยฎีกาการปฏิบัติการของเจ้าพนักงานตั้งแต่เรียกผู้แทนโจทก์มาไต่สวนตามมาตรา ๑๙ เจ้าพนักงานประเมินมีคำสั่งให้โจทก์เสียภาษีผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลามีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ให้โจทก์เสียภาษีเพิ่ม จนถึงเวลาที่มีการฟ้องร้องกันในศาล (ในคดีก่อน) ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงนั้นพิเคราะห์แล้วเห็นว่าไม่เกี่ยวกับภาษีเงินได้ที่พิพาทกันในคดีนี้ ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัย
พิพากษายืน

Share