แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คู่ความตกลงท้ากันว่า ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดสอบเขต เมื่อปรากฏตามการรังวัดว่าสิ่งปลูกสร้างส่วนใดรุกล้ำเขตนั้นเข้าไปในที่ดินของอีกฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายที่เป็นเจ้าของจะยอมรื้อสิ่งปลูกสร้างส่วนนั้นไป เมื่อเจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดสอบเขตตามคำสั่งศาลโดยสุจริต และปรากฏว่าสิ่งปลูกสร้างของจำเลยรุกล้ำเข้ามาในที่ของโจทก์ จำเลยก็ต้องรื้อสิ่งปลูกสร้างส่วนที่รุกล้ำออกไป จำเลยจะบ่ายเบี่ยงลอย ๆ ว่ารูปแผนที่ที่เจ้าพนักงานที่ดินจัดทำมาไม่ถูกต้อง จะขอให้เจ้าพนักงานคนอื่นไปรังวัดใหม่ไม่ได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้ทำเชิงชายคารุกล้ำเข้าในที่โจทก์ครึ่งฟุตนั้น เป็นเรื่องประมาณ คำขอท้ายฟ้องของโจทก์ได้กล่าวขอให้จำเลยรื้อหลังคาของจำเลยให้พ้นที่ดินของโจทก์ และเมื่อท้ากันคู่ความก็ยังรับกันว่า ถ้าสิ่งปลูกสร้างของฝ่ายใดรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของอีกฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายนั้นก็ยอมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างส่วนนั้นออกไป ฉะนั้น เมื่อเจ้าพนักงานรังวัดสอบเขตแล้ว แม้จะปรากฏตามแผนที่ว่ามีชายคาน้ำตกล้ำลงไปในที่ดินของโจทก์ประมาณ 1 ฟุตเศษ คือ ความกว้างเกินไปกว่าที่โจทก์ประมาณไว้บ้าง ศาลก็ตัดสินให้จำเลยรื้อถอนไปตามคำท้าได้
ข้อที่ว่า จำเลยอยู่ในฐานะที่เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง กล่าวว่า โจทก์ได้ก่อกำแพงล้ำและกั้นฝาล้ำที่ดินจำเลยแต่ตามรายงานและแผนที่กลางที่เจ้าพนักงานที่ดินทำการรังวัดทำแผนที่กลางหาได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไม่ โจทก์มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแต่ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ จะมายกในชั้นฎีกาไม่ได้ และข้อที่ว่าคำพิพากษาที่ให้ยกฟ้องในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 137/2507 โดยไม่ได้ให้คำวินิจฉัยประกอบคำพิพากษา เป็นคำพิพากษาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ จะมายกขึ้นในชั้นฎีกาไม่ได้เช่นเดียวกัน
ย่อยาว
คดี ๒ สำนวนนี้ศาลพิจารณาพิพากษารวมกัน
สำนวนแรกนางเอ่งซวดเป็นโจทก์ฟ้องนางนุ้ย โดยกล่าวว่านางเอ่งซวดเป็นเจ้าของที่ดินกับเรือนตามโฉนดที่ ๑๑๘๒ จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ ๑๑๒๑ ติดกับที่ดินของโจทก์ด้านตะวันตก จำเลยมีเรือนเลขที่ ๑๓๙ อยู่ในที่ดินนี้ จำเลยได้รื้อเรือนเก่าแล้วปลูกสร้างขึ้นใหม่โดยเปลี่ยนใช้หลังคาสังกะสีและจำเลยได้ทำชายคารุกล้ำเข้ามาบนเขตที่ดินของโจทก์ครึ่งฟุต และยาวตามที่ดิน ๔๐ ฟุต เป็นเนื้อที่หลังคารุกล้ำ ๒๐ ตารางฟุต โจทก์ก่อสร้างเรือนของโจทก์ให้สูงขึ้นไปไม่ได้เพราะไปติดหลังคาเรือนจำเลย โจทก์ให้พนักงานรังวัดตรวจสอบเขต ก็ปรากฏว่าหลังคาเรือนจำเลยรุกล้ำเข้ามาในที่ดินโจทก์ ขอให้จำเลยรื้อถอนให้พ้นที่ดินโจทก์
นางนุ้ยจำเลยให้การว่า มารดาจำเลยยกที่ดินและเรือนให้จำเลย ไม่รุกล้ำที่ดินของโจทก์
นายเหมาะสามีนางนุ้ยจำเลยยื่นคำร้องสอดเข้าแทนที่นางนุ้ย ศาลอนุญาต
สำนวนที่ ๒ นางนุ้ยโดยนายเหมาะผู้รับมอบอำนาจ นายเหมาะจำเลยที่ ๒ เป็นโจทก์ฟ้องนางเอ่งซวดนางสาวเหลี่ยนกิ้นว่า นายเหมาะนางนุ้ยได้รับโอนที่ดินมา นางเอ่งซวดและนางสาวเหลี่ยนกิ้นได้จ้างช่างหล่อเสาคอนกรีต คานคอนกรีต และก่อกำแพงตึกรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของนายเหมาะนางนุ้ยด้านตะวันออก ตามอักษรหมาย ก.ข. ในแผนที่ท้ายฟ้อง ยาวประมาณ ๑๒ เมตร กว้างประมาณ ๒๐ เซนติเมตร ได้ก่ออิฐ กั้นดิน แล้วกั้นฝาสังกะสีระหว่างอักษร ข.ค.รุกล้ำ กว้าง ๖๐ เซนติเมตร ยาวประมาณ ๒๘ เมตร ขอให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำออกไป
นางเอ่งซวดและนางสาวเหลี่ยนกิ้นให้การว่า ไม่ได้รุกล้ำที่ของนายเหมาะนางนุ้ย
เพื่อความสะดวก ศาลเรียกนางเอ่งซวดและนางสาวเหลี่ยนกิ้นเป็นโจทก์ นายเหมาะนางนุ้ยเป็นจำเลย
ในวันชี้สองสถาน คู่ความทั้งสองฝ่ายตกลงกันว่า จะไม่ขอสืบพยานใด ๆ แต่จะขอให้เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดสอบเขตที่ติดต่อกัน เมื่อเจ้าพนักงานสอบเขตแล้ว ให้ทำแผนที่แสดงอาณาเขตติดต่อของโฉนดทั้ง ๒ และให้แสดงให้ปรากฏว่าสิ่งปลูกสร้างอันใดของฝ่ายใดรุกล้ำเข้าอาณาเขตอย่างใด เมื่อปรากฏว่าตามการรังวัดว่าสิ่งปลูกสร้างส่วนใดรุกล้ำเขตนั้นเข้าไปทั้งบนดินและเหนือพื้นดิน ฝ่ายที่เป็นเจ้าของจะยอมรื้อสิ่งปลูกสร้างส่วนนั้นไป ประเด็นข้ออื่นคู่ความทั้ง ๒ ฝ่ายขอสละเสียทั้งสิ้น
เจ้าพนักงานที่ดินสั่งให้ช่างแผนที่ทำการรังวัดทำแผนที่ที่รายพิพาทตามคำสั่งศาล เสร็จแล้ว และส่งรูปแผนที่รายพิพาทมายังศาล ปรากฏว่าอาคารของจำเลยตามเส้นและอักษรสีแดง ก.ข.กับ ค.ง. มีเชิงชายคาน้ำล้ำลงไปในที่ดินของโจทก์ และง.จ. ส่วนล้ำอยู่เฉพาะตอนหน้าของระยะนี้ จำเลยขอให้รังวัดใหม่ ศาลชั้นต้นเห็นว่าไม่จำเป็นและนัดฟังคำพิพากษา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อเชิงชายคาอาคารของจำเลยซึ่งรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ตอนที่ ๑ อักษรหมาย ก.ข. ตอนที่ ๒ หมาย ค.ง. ตอนที่ ๓ ครัวซึ่งล้ำเข้าไปครึ่งหนึ่งของระยะตามเส้นอักษร ง.จ. ตามที่ปรากฏในรูปแผนที่กลาง ให้พ้นจากเขตที่ดินของโจทก์
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ในชั้นชี้สองสถาน คู่ความตกลงท้ากันแล้วว่า ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดสอบเขต เมื่อปรากฏตามการรังวัดว่า สิ่งปลูกสร้างส่วนใดรุกล้ำเขตนั้นเข้าไปในที่ดินของอีกฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายเป็นเจ้าของจะยอมรื้อสิ่งปลูกสร้างส่วนนั้นไป เมื่อเจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดสอบเขตตามคำสั่งศาลโดยสุจริต และปรากฏว่าสิ่งปลูกสร้างของจำเลยรุกล้ำเข้ามาในที่ของโจทก์ จำเลยก็ต้องรื้อสิ่งปลูกสร้างส่วนที่รุกล้ำออกไปจากที่ของโจทก์ จำเลยจะกลับมาเบี่ยงบ่ายลอย ๆ ว่า รูปแผนที่ที่เจ้าพนักงานที่ดินจัดทำมาไม่ถูกต้อง จะขอให้เจ้าพนักงานคนอื่นไปทำการรังวัดใหม่ไม่ได้ มิฉะนั้นคำที่ท้ากันก็จะไม่มีทางยุติกันได้
ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาเกินคำขอนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำเชิงชายคารุกล้ำเข้ามาในที่โจทก์ครึ่งฟุตนั้น เป็นเรื่องประมาณ คำขอท้ายฟ้องของโจทก์ยังได้กล่าวขอให้จำเลยรื้อหลังคาของจำเลยให้พ้นที่ดินของโจทก์ และเมื่อท้ากัน คู่ความก็ยังรับกันว่าสิ่งปลูกสร้างของฝ่ายใดรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของอีกฝ่าย ฝ่ายนั้นก็ย่อมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างส่วนนั้นออกไป ฉะนั้น เมื่อเจ้าพนักงานรังวัดสอบเขตแล้ว แม้จะปรากฏว่าตามแผนที่กลางตอน ค.ง. คืออาคารตอนที่ ๒ ของจำเลยมีชายคาน้ำตกล้ำลงไปในที่ดินของโจทก์ประมาณ ๑ ฟุตเศษ คือความกว้างเกินไปกว่าที่โจทก์ประมาณไว้บ้าง ศาลก็ตัดสินให้จำเลยรื้อถอนไปตามคำท้าได้
ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยอยู่ในฐานะที่เป็นโจทก์ได้ยื่นฟ้องกล่าวหาโจทก์ว่าได้ก่อกำแพงและกั้นฝาล้ำที่ดินจำเลย แต่ตามรายงานและแผนที่กลางที่เจ้าพนักงานที่ดินทำการรังวัดทำแผนที่กลางหาได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไม่ แสดงว่าไม่ได้ทำการรังวัดสอบเขตให้เป็นที่แน่นอนตามความประสงค์ของโจทก์จำเลยทุกข้อหา ศาลฎีกาเห็นว่า ประเด็นข้อนี้โจทก์มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วแต่ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ จะมายกในชั้นฎีกาไม่ได้ และที่จำเลยฎีกาว่าคำพิพากษาที่ให้ยกฟ้องในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๑๓๗/๒๕๐๗ คือ สำนวนที่ ๒ โดยไม่ได้ให้คำวินิจฉัยประกอบคำพิพากษา เป็นคำพิพากษาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าประเด็นข้อนี้โจทก์มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วแต่ในศาลอุทธรณ์ จะมายกขึ้นในชั้นฎีกาไม่ได้เช่นเดียวกัน เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙
พิพากษายืน