แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สำเนาเอกสารที่คู่ความฝ่ายที่อ้างอิงจะต้องส่งให้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งก่อนวันนัดสืบพยานไม่น้อยกว่า 3 วัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 40 นั้น หมายถึงสำเนาเอกสารที่คู่ความอ้างอิงเป็นพยานหลักฐาน มิใช่หมายถึงคำแปลหรือสำเนาคำแปลเอกสาร ทั้งมาตรา 46 มิได้บัญญัติให้คู่ความฝ่ายที่อ้างอิงเอกสารที่เป็นภาษาต่างประเทศ ส่งคำแปลหรือสำเนาคำแปลให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง เมื่อโจทก์ส่งสำเนากรมธรรม์ประกันภัยให้จำเลย พร้อมกับสำเนาฟ้อง และได้ยื่นคำแปลกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าว โดยมีคำรับรองมายื่นต่อศาลชั้นต้นเพื่อแนบไว้กับต้นฉบับแล้ว ศาลย่อมรับฟังกรมธรรม์ประกันภัยเป็นพยานหลักฐานของโจทก์ได้
แม้จำเลยที่ 2 จะให้การไว้ว่าจำเลยที่ 2 ประกันภัยค้ำจุน บ. มิใช่ประกันค้ำจุน จำเลยที่ 1 และ บ.ไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ก็ตาม แต่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดข้อต่อสู้ดังกล่าวของจำเลยที่ 2 ไว้เป็นประเด็น และจำเลยที่ 2 มิได้โต้แย้งคัดค้านการกำหนดประเด็นของศาลชั้นต้นไว้ ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 2 จึงไม่เป็นประเด็นแห่งคดีจะยกขึ้นต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแห่ง มาตรา 226, 249 (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 2170/2516)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ได้รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก.ท. ฒ-๘๘๖๓ ไว้ จำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก.ท. ฆ-๐๙๕๔ ด้วยความประมาทเป็นเหตุให้ชนรถ ก.ท. ฒ-๘๘๖๓ ซึ่งวิ่งสวนทางมา ทำให้ผู้ขับขี่รถยนต์หมายเลขทะเบียน ก.ท. ฒ-๘๘๖๓ ถึงแก่ความตายและรถยนต์เสียหาย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก.ท. ฆ-๐๙๕๔ ไว้ จึงขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหาย
จำเลยที่ ๑ ให้การว่าภาพถ่ายกรมธรรม์ประกันภัยท้ายฟ้องมิได้เป็นเอกสารภาษาไทย จำเลยที่ ๑ ไม่เข้าใจข้อกล่าวหาฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ตามสัญญาประกันภัยอยู่แล้ว จำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ มิได้นำรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก.ท. ฆ-๐๙๕๔ มาประกันไว้กับจำเลยที่ ๒ จำเลยย่อมรับผิดต่อผู้เอาประกันภัยและตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๘๗ เท่านั้น ผู้ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ก.ท. ฒ-๘๘๖๓ ประมาทมากกว่าจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิด
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์ด้วยความประมาท รถที่จำเลยที่ ๑ ขับมีชื่อนางบุญศรีภริยาจำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของ และนางบุญศรีเอาประกันภัยไว้กับจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์ดังกล่าวโดยได้รับอนุญาตจากผู้เอาประกันภัยแล้ว จำเลยที่ ๒ จึงต้องร่วมกับจำเลยที่ ๑ รับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย โจทก์รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก.ท. ฒ-๘๘๖๓ ไว้ และได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่เจ้าของแล้ว โจทก์ย่อมรับช่วงสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองได้ แม้จะฟังว่าโจทก์ไม่ได้ส่งคำแปลกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่จำเลยที่ ๒ ก็ไม่เป็นการต้องห้ามมิให้รับฟัง เพราะโจทก์ส่งคำแปลต่อศาลแล้ว ไม่มีกฎหมายกำหนดให้โจทก์ต้องส่งคำแปลให้จำเลย พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยให้โจทก์
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าที่จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้ส่งคำแปลกรมธรรม์ประกันภัยให้จำเลยซึ่งขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๐ ประกอบด้วยมาตรา ๔๖ จึงรับฟังกรมธรรม์ประกันภัยเป็นพยานหลักฐานไม่ได้นั้น สำเนาเอกสารที่คู่ความฝ่ายที่อ้างอิงเอกสารจะต้องส่งให้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งก่อนวันนัดสืบพยานไม่น้อยกว่า ๓ วัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๔๐ นั้น หมายถึงสำเนาของเอกสารที่คู่ความอ้างอิงเป็นพยานหลักฐาน มิใช่หมายถึงคำแปลหรือสำเนาคำแปลเอกสาร และในคดีที่คู่ความอ้างอิงเอกสารที่เป็นภาษาต่างประเทศเป็นพยานหลักฐานนั้น กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา๔๖ วรรค ๓ บัญญัติให้ศาลสั่งคู่ความฝ่ายที่อ้างและส่งเอกสารที่เป็นภาษาต่างประเทศทำคำแปลทั้งฉบับ หรือเฉพาะแต่ส่วนสำคัญโดยมีคำรับรองมายื่น เพื่อแนบไว้กับต้นฉบับเท่านั้น มิได้บัญญัติให้คู่ความฝ่ายที่อ้างอิงเอกสารที่เป็นภาษาต่างประเทศส่งคำแปลหรือสำเนาคำแปลให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง เมื่อโจทก์ส่งสำเนากรมธรรม์ประกันภัยให้จำเลยพร้อมกับสำเนาฟ้อง และได้ยื่นคำแปลกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าวต่อศาลชั้นต้น โยมีคำรับรองมายื่นเพื่อแนบไว้กับต้นฉบับแล้ว ศาลย่อมรับฟังกรมธรรม์ประกันภัยเป็นพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ ๒ ฟังไม่ขึ้น ที่จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่าจำเลยที่ ๒ ประกันภัยค้ำจุนนางบุญศรี มิใช่ประกันภัยค้ำจุนจำเลยที่ ๑ และนางบุญศรีไม่ต้องรับผิด จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๘๗ นั้น แม้จะฟังว่าจำเลยที่ ๒ ระบุข้อที่จำเลยที่ ๒ ฎีกาไว้ในคำให้การของจำเลยที่ ๒ แล้ว แต่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดข้อต่อสู้ดังกล่าวของจำเลยที่ ๒ ไว้เป็นประเด็น การที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นไว้อย่างไรนั้น เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น หากจำเลยที่ ๒ ประสงค์จะอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่กำหนดข้อต่อสู้ดังกล่าวของจำเลยที่ ๒ ไว้เป็นประเด็น จำเลยที่ ๒ จะต้องโต้แย้งคัดค้านการกำหนดประเด็นของศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาควาแพ่ง มาตรา ๒๒๖ แต่จำเลยที่ ๒ มิได้คัดค้านการกำหนดประเด็นของศาลชั้นต้นไว้ ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ ๒ ที่ว่าจำเลยที่ ๒ ประกันภัยค้ำจุนนางบุญศรีมิใช่ประกันภัยค้ำจุนจำเลยที่ ๑ และนางบุญศรีไม่ต้องรับผิดจำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๘๗ จึงไม่เป็นประเด็นแห่งคดี จำเลยที่ ๒ จะยกข้อต่อสู้ดังกล่าวที่ไม่เป็นประเด็นแห่งคดีนั้นต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๖ , ๒๔๙ ตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ ๒๑๗๐/๒๕๑๖ ระหว่างนายไพศาล นิลคำ กับพวกโจทก์ นายเซี่ยงกัง แซ่โพ้ว กับพวก จำเลย ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉับฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ ๒
พิพากษายืน