แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เอกสารที่จำเลยที่ 2 ทำปลอมขึ้นและนำไปใช้เป็นหนังสือรับรองผลงานขององค์การบริหารส่วนตำบล ห. ซึ่งตาม พ.ร.บ.สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ.2537 มาตรา 60 วรรคหนึ่ง กำหนดให้นายกองค์การบริหารส่วนตำบลควมคุมและรับผิดชอบในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนตำบลตามกฎหมาย ดังนี้ ผู้ที่จะลงลายมือชื่อรับรองผลงานตามหนังสือดังกล่าวจึงเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ห. และมาตรา 65 วรรคหนึ่ง ของพระราชบัญญัติดังกล่าวกำหนดว่าในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ให้นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา หนังสือรับรองผลงานจึงเป็นเอกสารที่ออกโดยเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ จึงเป็นเอกสารราชการตาม ป.อ. มาตรา 1 (8) แม้ผู้ที่ลงลายมือชื่อในหนังสือรับรองผลงานดังกล่าวมิใช่นายกองค์การบริหารส่วนตำบล ห. ก็ไม่ทำให้เป็นเพียงเอกสารดังที่จำเลยที่ 2 ฎีกา การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นความผิดฐานปลอมหนังสือรับรองผลงานอันเป็นเอกสารราชการและใช้หนังสือรับรองผลงานอันเป็นเอกสารราชการปลอมตาม ป.อ. มาตรา 265, 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 264, 265, 268
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265, 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคแรก (ที่ถูกมาตรา 265), 83 จำเลยทั้งสองปลอมเอกสารราชการเพื่อนำไปใช้เป็นเจตนาเดียว เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 เมื่อจำเลยทั้งสองเป็นผู้ปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารราชการปลอมเพียงกระทงเดียว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคสอง ลงโทษปรับจำเลยที่ 1 จำนวน 10,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับจำเลยที่ 1 จำนวน 5,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 แต่ประการเดียว
จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า หนังสือรับรองผลงานไม่ใช่เอกสารราชการ โดยนายสมโชค ไม่ได้มีตำแหน่งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบลห้วยไร่และไม่มีฐานะเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย จึงไม่มีหน้าที่ทำขึ้นหรือรับรองในหน้าที่ซึ่งหนังสือรับรองผลงาน จำเลยที่ 2 จึงไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสารราชการและใช้เอกสารราชการปลอม แต่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 นั้น ปัญหาข้อนี้แม้จำเลยที่ 2 มิได้ยกขึ้นอ้างในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยจำเลยที่ 2 มีสิทธิยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 เห็นว่า เอกสารที่จำเลยที่ 2 ทำปลอมขึ้นเป็นหนังสือรับรองผลงานขององค์การบริหารส่วนตำบลห้วยไร่ อำเภอคอนสวรรค์ จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ.2537 มาตรา 60 วรรคหนึ่ง กำหนดให้นายกองค์การบริหารส่วนตำบลควบคุมและรับผิดชอบในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนตำบลตามกฎหมาย ดังนี้ ผู้ที่จะลงลายมือชื่อรับรองผลงานตามหนังสือดังกล่าวจึงเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบลห้วยไร่ และมาตรา 65 วรรคหนึ่ง ของพระราชบัญญัติดังกล่าวกำหนดว่า ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้นายกองค์การบริหารส่วนตำบล เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา หนังสือรับรองผลงานจึงเป็นเอกสารที่ออกโดยเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ ซึ่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1 (8) ระบุว่า “เอกสารราชการ” หมายความว่า เอกสารซึ่งเจ้าพนักงานได้ทำขึ้นหรือรับรองในหน้าที่ และให้หมายความรวมถึงสำเนาเอกสารนั้น ๆ ที่เจ้าพนักงานได้รับรองในหน้าที่ด้วย ดังนั้น หนังสือรับรองผลงานจึงเป็นเอกสารราชการ แม้ผู้ที่ลงลายมือชื่อในหนังสือรับรองผลงานปลอมมิใช่นายกองค์การบริหารส่วนตำบลห้วยไร่ ก็ไม่ทำให้หนังสือรับรองผลงานซึ่งเป็นเอกสารราชการแล้วเป็นเพียงเอกสารดังที่จำเลยที่ 2 ฎีกา การที่จำเลยทั้งสองร่วมกันปลอมเอกสารราชการดังกล่าวขึ้นทั้งฉบับและถ่ายสำเนาหนังสือรับรองผลงานซึ่งเป็นเอกสารราชการที่จำเลยทั้งสองร่วมกันปลอมแล้วนำไปใช้อ้างแสดงต่อสำนักงานเทศบาลตำบลเชียงกลาง เพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารราชการที่แท้จริงและน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นความผิดฐานปลอมหนังสือรับรองผลงานอันเป็นเอกสารราชการและฐานใช้หนังสือรับรองผลงานอันเป็นเอกสารราชการปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265, 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 แล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า สมควรลงโทษจำเลยที่ 2 ในสถานเบาและรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยที่ 2 หรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยที่ 2 ปลอมหนังสือรับรองผลงานแล้วนำไปใช้อ้างแสดงต่อสำนักงานเทศบาลตำบลเชียงกลาง เพื่อยื่นซองประกวดราคาโครงการปรับปรุงถนนลูกรัง ตามฟ้องโจทก์นับเป็นการกระทำที่กระทบต่อความน่าเชื่อถือในการที่จะใช้เอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐาน และเป็นการกระทำที่ไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมาย ส่อแสดงถึงพฤติการณ์ที่ไม่สุจริตของจำเลยที่ 2 ที่มุ่งเอาแต่ประโยชน์ส่วนตนโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของราชการหรือผู้อื่นที่เกี่ยวข้องพฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง แม้ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนแต่เพื่อให้จำเลยที่ 2 เข็ดหลาบและเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่บุคคลอื่นที่คิดจะกระทำการเช่นจำเลยที่ 2 สมควรลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 โดยไม่รอการลงโทษ อีกทั้งการกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 ในคดีนี้มีระวางโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 ให้จำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 5 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ใช้ดุลพินิจวางโทษจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 ปี ก่อนลดโทษให้นั้น นับว่าเป็นคุณแก่จำเลยที่ 2 มากอยู่แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ใช้ดุลพินิจกำหนดโทษจำคุกและไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยที่ 2 นั้น เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน