คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1374/2540

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

เจ้าพนักงานประเมินของกรมสรรพากรโจทก์ประเมินภาษีเงินได้กับภาษีการค้าและแจ้งให้จำเลยทราบแล้วแต่จำเลยไม่ได้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของโจทก์ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30 การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินของโจทก์จึงเป็นอันยุติ จำเลยมีหน้าที่ต้องชำระภาษีอากรตามที่มีการประเมิน เมื่อจำเลยถูกฟ้องให้ล้มละลายเพราะไม่ชำระค่าภาษีดังกล่าว จำเลยจึงไม่มีสิทธิยกข้อต่อสู้ว่าเจ้าพนักงานประเมินของโจทก์ประเมินภาษีไม่ถูกต้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้ประกอบการค้าประเภทการค้าขายอาหารและเครื่องดื่มมีสถานประกอบการค้าชื่อ “เพื่อน” ตั้งอยู่เลขที่ 80/1 ซอยข้างโรงเรียนรุ่งเรืองวิทยา ถนนสรรพาวุธ แขวงบางนา เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร เจ้าพนักงานประเมินของโจทก์ตรวจสอบพบว่าในปี พ.ศ. 2525 จำเลยได้ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และแบบแสดงรายการเสียภาษีการค้าไว้ไม่ถูกต้องครบถ้วน จึงทำการประเมินและเรียกเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปี พ.ศ. 2525 จำนวน 4,042.50 บาท เบี้ยปรับ8,085 บาท และเงินเพิ่มคำนวณถึงวันที่ 30 กันยายน 2528 เป็นเงิน 1,819.13 บาทจากจำเลยรวมเป็นเงิน 13,946 บาท ภาษีการค้าสำหรับเดือนมิถุนายน 2525 ถึงเดือนธันวาคม 2525 จำเลยต้องชำระภาษีการค้าเพิ่ม 18,425 บาท เบี้ยปรับ 21,615 บาท และเงินเพิ่ม 5,218.40 บาท รวม 45,258.40 บาท และภาษีการค้าสำหรับเดือนกรกฎาคม2526 จำนวน 2,200 บาท เบี้ยปรับ 2,200 บาท และเงินเพิ่ม 330 บาท รวม 4,730 บาทภาษีการค้าที่จำเลยต้องชำระเป็นเงินรวม 49,988.40 บาท เมื่อรวมกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นเงินทั้งสิ้น 63,934 บาท จำเลยได้รับแบบแจ้งการประเมินภาษีจากโจทก์แล้วมิได้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ทั้งมิได้นำเงินจำนวนดังกล่าวมาชำระให้แก่โจทก์ หนี้ดังกล่าวถึงกำหนดชำระและมีจำนวนแน่นอนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นบาท โจทก์มีหนังสือทวงถามไปยังจำเลยสองครั้งซึ่งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่าสามสิบวัน จำเลยทราบแล้วเพิกเฉยทั้งยังได้ปิดสถานการค้าและไปเสียจากเคหะสถานที่เคยอยู่ โดยเจตนาเพื่อมิให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ภาษีอากรค้างจำนวนดังกล่าว จำเลยไม่มีทรัพย์สินอื่นใดที่โจทก์จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้จึงเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย

จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยประกอบการค้าจึงไม่ต้องชำระภาษีการค้า เกี่ยวกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้น ในเดือนมิถุนายน 2525 ถึงเดือนธันวาคม 2525 จำเลยไม่เคยมีรายรับจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ภาษีจำนวนตามฟ้องให้โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยไว้เด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในข้อแรกว่า เจ้าพนักงานประเมินของโจทก์ประเมินภาษีเงินได้และภาษีการค้าของจำเลยถูกต้องหรือไม่ เห็นว่า เมื่อเจ้าพนักงานประเมินของโจทก์ประเมินภาษีเงินได้กับภาษีการค้าและแจ้งให้จำเลยทราบแล้วแต่จำเลยไม่ได้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของโจทก์ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30 การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินของโจทก์จึงเป็นอันยุติ จำเลยมีหน้าที่ต้องชำระภาษีอากรตามที่มีการประเมิน เมื่อจำเลยถูกฟ้องให้ล้มละลายเพราะไม่ชำระค่าภาษีดังกล่าว จำเลยจึงไม่มีสิทธิยกข้อต่อสู้ว่าเจ้าพนักงานประเมินของโจทก์ประเมินภาษีไม่ถูกต้อง ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยเป็นหนี้ค่าภาษีโจทก์เป็นเงินรวม 63,934 บาท”

พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

Share