แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามหนังสือสัญญาเช่าตึกพิพาท ปรากฏว่าผู้เช่าคือจำเลยที่ 1 เท่านั้น และค่าเช่าเพียงเดือนละ 60 บาท โจทก์ผู้ให้เช่าจะนำสืบว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้เช่าด้วย และค่าเช่าเดือนละ 445.42 บาท ดังนี้ เป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94
ครบกำหนดสัญญาเช่าตึกและโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว จำเลยที่ 1 ผู้เช่าไม่ส่งมอบตึกและจำเลยที่ 2 ทำการค้าอยู่ในตึกพิพาทต่อมาการอยู่ต่อมาของจำเลยที่ 2 เป็นการอยู่โดยละเมิดจริงดังฟ้อง แม้โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองโดยอ้างว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้เช่าด้วยแต่ศาลฟังว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้เช่าแต่ผู้เดียว ดังนี้ ก็ต้องพิพากษาให้ขับไล่จำเลยที่ 2 ด้วย และให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดใช้ค่าเสียหาย กับร่วมใช้ค่าฤชาธรรมเนียม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ปลูกอาคารพาณิชย์บนที่ดินที่โจทก์เป็นผู้ทรงสิทธิเหนือพื้นดิน โดยมอบให้นายกังฮี้ แซ่ลิ้ม เป็นตัวแทนดำเนินการปลูกสร้างจัดหาผู้เช่า ทำสัญญาและรับเงินจากผู้ขอเช่าจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นสามีภริยากันได้ติดต่อกับตัวแทนช่วงของนายกังฮี้ เช่าห้องเลขที่ ๖๗/๗ ของโจทก์เพื่อประกอบการค้าร้านดัดผมมีกำหนด ๘ ปี โดยผู้เช่าต้องจ่ายเงินล่วงหน้า ๓๗,๐๐๐ บาท เป็นค่าตอบแทนการใช้ตึกของโจทก์และเสียค่าตอบแทนเป็นรายเดือนอีกเดือนละ ๖๐ บาท ตลอดเวลา ๘ ปี จำเลยต้องจ่ายเงินตอบแทนรวม ๔๒,๗๖๐ บาท จึงเป็นอัตราค่าเช่า ๔๔๕.๔๒ บาทต่อเดือน แต่ตัวแทนโจทก์มิได้กรอกจำนวนเงินล่วงหน้าลงไว้ในสัญญาเช่าด้วย คงลงไว้แต่เฉพาะค่าเช่าเดือนละ ๖๐ บาทเท่านั้น ครั้นครบกำหนด ๘ ปีจำเลยขอเช่าต่อไป แต่ให้ค่าเช่าต่ำมากจึงตกลงกันไม่ได้ โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาให้จำเลยออกจากห้องเช่า จำเลยไม่ออก จำเลยทั้งสองอยู่ต่อมาโดยละเมิด ขอให้พิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกจากตึกพิพาทให้ชำระค่าเช่าที่ค้าง ๓ เดือน ๆ ละ ๔๔๕.๔๒ บาท เป็นเงิน ๑,๓๓๖.๒๖ บาท ให้ชำระค่าเสียหายถึงวันฟ้อง ๓,๐๔๐.๘๔ บาท และต่อจากวันฟ้องเดือนละ ๑,๕๒๐.๔๒ บาท จนกว่าจะออกไป กับให้ชำระดอกเบี้ยจากเงิน ๔,๓๗๗.๑๐ บาทด้วย
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า จำเลยทั้งสองมิได้เป็นสามีภริยากัน สิทธิการเช่าเป็นของจำเลยที่ ๑ แต่ผู้เดียว จำเลยที่ ๒ เป็นเพียงบริวารหรืออาศัย จำเลยที่ ๑ เช่าห้องพิพาทกับโจทก์โดยตกลงเช่ากับนายเปงกัง แซ่ลิ้ม ผู้ก่อสร้าง โดยเสียค่าก่อสร้างตึกให้นายเปงกัง ๓๖,๐๐๐ บาท ไม่ใช่ให้โจทก์ แล้วนายเปงกังจัดให้โจทก์ทำสัญญาเช่าให้จำเลย ค่าเช่าเดือนละ ๖๐ บาท ไม่มีค่าเช่าล่วงหน้าไม่เคยตกลงค่าเช่าเดือนละ ๔๔๕.๔๒ บาท โจทก์ไม่เสียหายดังฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การทำนองเดียวกับจำเลยที่ ๑ ว่ามิได้เป็นสามีภริยากันกระทำกิจการแยกกัน จำเลยที่ ๒ ไม่เคยเช่าห้องจากใคร ไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยที่ ๑ และบริวารออกจากตึกพิพาท (วินิจฉัยว่าจำเลยที่ ๒ เป็นเพียงบริวารของจำเลยที่ ๑) ให้จำเลยที่ ๑ ชำระค่าเช่าที่ค้าง ๓ เดือน เป็นเงิน ๑๘๐ บาทให้โจทก์ ให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าเสียหายเดือนละ ๒๔๐ บาทตั้งแต่วันละเมิดถึงวันฟ้อง ๒ เดือน เป็นเงิน ๔๘๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จและชำระค่าเสียหายเดือนละ ๒๔๐ บาทนับแต่เดือนที่ฟ้องจนกว่าจำเลยที่ ๑ และบริวารจะออกไปค่าเสียหายหรือคำขอนอกนี้ให้ยก ให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ ๒
โจทก์และจำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่ ๒ เป็นผู้เช่าตึกพิพาทด้วยและต้องร่วมรับผิดในค่าเช่าด้วยนั้น เห็นว่า การเช่าตึกพิพาทเป็นการเช่าอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๓๘ ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ต้องรับผิด จึงจะฟ้องร้องบังคับคดีได้ตามสัญญาเช่าตึกพิพาทปรากฏว่าผู้เช่าคือจำเลยที่ ๑ เท่านั้น และค่าเช่าก็กำหนดไว้เพียงเดือนละ ๖๐ บาท การที่โจทก์พยายามจะนำสืบว่าจำเลยที่ ๒ เป็นผู้เช่าตึกพิพาทด้วย และว่าค่าเช่าไม่ใช่เดือนละ ๖๐ บาท แต่เป็นเดือนละ๔๔๕.๔๒ บาทนั้น เป็นการสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาเช่า และไม่ใช่การสืบหักล้างเอกสาร ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๓ จึงต้องฟังว่าจำเลยที่ ๑ แต่ผู้เดียวเป็นผู้เช่า จำเลยที่ ๒ มิได้เป็นผู้เช่า และมิได้เป็นคู่สัญญา จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิดเฉพาะค่าเช่าที่โจทก์ฟ้องตามสัญญาเช่าและต้องฟังว่าค่าเช่าเดือนละ ๖๐ บาทตามสัญญาเท่านั้น
โจทก์เป็นเจ้าของตึกพิพาท สัญญาเช่าครบกำหนดแล้ว และโจทก์ก็บอกเลิกสัญญาแล้ว แต่จำเลยไม่ส่งมอบตึกและทำการค้าอยู่ต่อมาการอยู่ต่อมาของจำเลยที่ ๒ จึงเป็นการอยู่โดยละเมิด การที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองแม้จำเลยที่ ๒ จะไม่ใช่คู่สัญญาและไม่ใช่ผู้เช่า จำเลยที่ ๒ ก็ต้องออกจากตึกพิพาทและต้องรับผิดในความเสียหายอันเกิดจากการที่ไม่ยอมออกไป ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ไม่ขับไล่จำเลยที่ ๒ และไม่ให้จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดในผลแห่งการละเมิดนั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากตึกพิพาทให้จำเลยที่ ๑ ชำระค่าเช่าที่ค้างรวม ๓ เดือน ๑๘๐ บาทแก่โจทก์ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดในค่าเสียหายเดือนละ ๒๔๐ บาทนับแต่วันละเมิดถึงวันฟ้อง ๒ เดือน เป็นเงิน ๔๘๐ บาทพร้อมกับดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเงินเสร็จให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้ง ๓ ศาลแทนโจทก์ด้วย