คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1368/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฎีกาจำเลยที่อ้างว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงเพราะจากภาพถ่ายรถของจำเลยเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งเป็นภาพถ่ายบริเวณด้านหน้าขวาของรถจำเลยไม่มีร่องรอยการเฉี่ยวหรือโดนกันแต่อย่างใดคงมีร่องรอยการเฉี่ยวโดนกันเฉพาะด้านข้างขวาของรถเท่านั้น การวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์จึงขัดกับพยานหลักฐานนั้นแม้ว่าตามภาพถ่ายหมาย จ.1 จะไม่ปรากฏให้สามารถตรวจพบได้ชัดเจนว่ามีร่องรอยการเฉี่ยวชนดังที่จำเลยกล่าวอ้างก็ตามแต่ ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงโดยตรวจดูจากภาพถ่ายหมาย จ.1 แต่เพียงอย่างเดียว หากแต่ได้นำคำเบิกความของพนักงานสอบสวนซึ่งได้ตรวจสภาพรถยนต์คันเกิดเหตุว่าที่กันชนหน้าขวามีรอยขูดด้วย ซึ่งเป็นการวินิจฉัยตรงตามคำเบิกความของพยาน หาใช่เป็นการวินิจฉัยขัดต่อพยานหลักฐานในสำนวนไม่ ฎีกาของจำเลยเช่นนี้จึงเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้ศาลอุทธรณ์แก้เฉพาะโทษอันเป็นการแก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปีจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคแรก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับอันตรายสาหัส ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291, 300, 390 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 43, 157
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณาผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291, 300, 391 (ที่ถูก 390) พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43, 157 เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทลงโทษตามมาตรา 291 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 จำคุก 8 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 4 ปีนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะในประเด็นที่ว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคลาดเคลื่อนขัดกับพยานหลักฐานในสำนวนหรือไม่
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เพราะจากภาพถ่ายรถของจำเลยเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งเป็นภาพถ่ายบริเวณด้านหน้าขวาของรถจำเลยไม่มีร่องรอยการเฉี่ยวหรือโดนกันแต่อย่างใด คงมีร่องรอยการเฉี่ยวโดนกันเฉพาะด้านข้างขวาของรถเท่านั้น การวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์จึงขัดกับพยานหลักฐาน นั้น เห็นว่า แม้ตามภาพถ่ายหมาย จ.1 จะไม่ปรากฏให้สามารถตรวจพบได้ชัดเจนว่ามีร่องรอยการเฉี่ยวชนดังที่จำเลยกล่าวอ้างในฎีกาก็ตาม แต่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงโดยตรวจดูจากภาพถ่ายหมาย จ.1 แต่เพียงอย่างเดียว หากแต่ได้นำคำเบิกความของร้อยตำรวจโทสุเชาว์ ขมสนิท พนักงานสอบสวนซึ่งได้ตรวจสภาพรถยนต์คันเกิดเหตุว่าที่กันชนหน้าขวามีรอยขูดด้วย ซึ่งเป็นการวินิจฉัยตรงตามคำเบิกความของพยาน หาใช่เป็นการวินิจฉัยขัดต่อพยานหลักฐานในสำนวนไม่ ฎีกาของจำเลยเช่นนี้เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อปรากฏว่าคดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะโทษอันเป็นการแก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปีจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยในข้อนี้ จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษาให้ยกฎีกาจำเลย

Share