แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 แม้ศาลอุทธรณ์จะได้วินิจฉัยให้ ก็ไม่ถือว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์ ตามมาตรา 249 ศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัยให้และพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เสีย ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของตึกแถวเลขที่ ๖๐๔ ถนนบำรุงเมือง จำเลยเช่าตึกนี้ทำการค้าขายรองเท้า สัญญาเช่าหมดอายุตั้งแต่เดือนมีนาคม ๒๕๑๐ โจทก์บอกเลิกการเช่า จำเลยทราบแล้วไม่ยอมออกและค้างชำระค่าเช่าเดือนมีนาคม ๒๕๑๐ เป็นเงิน ๘๐ บาท ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากตึกพิพาท และให้ส่งตึกคืนในสภาพเรียบร้อยกับให้ใช้ค่าเช่าที่ค้างและค่าเสียหายเดือนละ ๕๐๐ บาท
จำเลยให้การว่าไม่ได้เช่าจากโจทก์ โจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ตึกพิพาทจำเลยได้เสียค่าตอบแทนในการปลูกตึกแถวที่จำเลยเช่าผู้ให้เช่าตกลงให้จำเลยเช่า ๑๒ ปี ตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๐๑ จำเลยจึงมีสิทธิอยู่จนครบกำหนดเพราะเป็นสัญญาต่างตอบแทนจำเลยเช่าเพื่ออยู่อาศัยเป็นส่วนใหญ่ จึงได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน ฯลฯ
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวาร กับให้ใช้ค่าเช่าที่ค้างและค่าเสียหายตามฟ้อง ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนาย ๑๐๐ บาทแทนโจทก์ด้วย
จำเลยอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับว่าจำเลยอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์สั่งรับอุทธรณ์เฉพาะข้อ ค. และ ง. ว่า เป็นปัญหาข้อกฎหมาย แล้วพิพากษายืน
จำเลยฎีกาในปัญหา ๒ ข้อที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเป็นข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
ปัญหาแรก คือ ห้องพิพาทเป็นเคหะหรือไม่ ศาลชั้นต้นฟังว่าห้องพิพาทอยู่ในทำเลการค้า และจำเลยเช่าเพื่อทำการค้า ซึ่งศาลอุทธรณ์ถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๓๘ และเห็นว่าห้องพิพาทไม่เป็นเคหะที่จะได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน จำเลยฎีกาว่าใช้ห้องพิพาทเป็นที่อยู่อาศัยและให้บุตรประกอบการค้าเล็ก ๆ น้อย ๆ แสดงว่าใช้เป็นที่อยู่อาศัยเป็นส่วนใหญ่ ควรฟังว่าห้องพิพาทเป็นเคหะ ฎีกาของจำเลยดังนี้จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๔๙๕-๕๐๐/๒๕๐๘ส่วนในปัญหาหลังที่จำเลยฎีกาว่า นายสง่าได้รับเงินค่าตอบแทน ๓๐,๐๐๐ บาทไว้แล้ว และตกลงจะให้จำเลยเช่า ๑๒ ปีนั้น ศาลชั้นต้นฟังว่าไม่มีหลักฐานว่านายสง่าได้รับเงิน ๓๐,๐๐๐ บาทจากจำเลย และไม่มีสัญญาเป็นหลักฐานมาแสดง จึงไม่เป็นสัญญาต่างตอบแทนซึ่งศาลอุทธรณ์ฟังตามและเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงอีก
แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยอุทธรณ์ในปัญหาทั้ง ๒ ข้อนี้มาก็เป็นการวินิจฉัยอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๔ และเมื่อเป็นอุทธรณ์ที่ต้องห้ามแล้วก็ไม่ถือว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น กับให้จำเลยใช้ค่าทนายชั้นอุทธรณ์และฎีกาแทนโจทก์ ๒๐๐ บาท