คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1367/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อฟ้องของโจทก์ยืนยันว่าโจทก์เป็นเจ้าของนาพิพาท หาได้กล่าวอ้างถึงสิทธิอื่นใดเหนือที่พิพาทขึ้นสนับสนุนอีกไม่ เมื่อโจทก์ยอมรับว่าที่พิพาทนั้นไม่ใช่ของโจทก์เป็นของกรมชลประทานโดยเจ้าของเดิมแบ่งยกให้กรมชลประทานไปแล้วก่อนโอนขายให้โจทก์ ดังนี้ตามฟ้องและคำรับของโจทก์ย่อมแสดงว่าโจทก์ไม่มีสิทธิใดๆเหนือที่พิพาททั้งสิ้น (รวมทั้งสิทธิให้เช่า) เมื่อตนไม่มีสิทธิใดๆแล้ว จะอ้างว่าสัญญาเช่าปิดปากผู้เช่ามิให้โต้เถียงสิทธิของผู้ให้เช่านั้นก็ไม่ได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 17/2498)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้รับมอบอำนาจทั่วไปจาก น.ส.หรั่งกุ่นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ 684, 686, 1777 ตำบลโคกแฝด จังหวัดพระนครจำเลยทั้ง 4 ได้ร่วมกันทำสัญญาเช่านาจากโจทก์เพื่อทำนา ครบกำหนดเช่าแล้วจำเลยได้เช่าต่ออีกมีกำหนด 1 ปี โดยอาศัยสัญญาเช่าฉบับเดิม จำเลยกลับไปทำไร่อ้อยไร่สัปรดและพืชอื่น ๆ ไม่ทำนาและจำเลยที่ 1 ยังปลูกบ้านลงในที่ดินที่เช่าโดยมิได้รับความยินยอมจากโจทก์โจทก์เสียหาย 2,000 บาท โจทก์ได้บอกเลิกสัญญาแล้วขอให้จำเลยและบริวารออกจากที่นา ฯลฯ

จำเลยทั้ง 4 ต่อสู้ว่าใบมอบอำนาจให้ฟ้องคดีไม่สมบูรณ์ โจทก์มิได้เสนอเรื่องให้คณะกรรมการอำเภอวินิจฉัยเสียก่อนตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า พ.ศ. 2493 ที่พิพาทเดิมเป็นของน.ส.แดง จำเลยเช่าและปลูกเรือนอยู่อาศัยมา 7 ปีแล้วโจทก์เพิ่งรับโอนมาได้ 3 ปี และคงให้จำเลยเช่าปลูกบ้านอยู่ต่อมาเช่นเดิมจำเลยได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าอนึ่งที่ดินตรงที่จำเลยเช่าอยู่นี้ถูกตัดออกจากโฉนดของโจทก์ เป็นที่ดินของกรมชลประทานไปแล้ว โจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ จำเลยไม่เคยค้างค่าเช่า โจทก์ไม่เสียหาย

ก่อนสืบพยาน จำเลยยอมรับว่าใบมอบอำนาจของโจทก์สมบูรณ์ไม่ติดใจค้าน โจทก์แถลงไม่ติดใจสืบเรื่องค่าเสียหาย และยอมรับว่าที่ที่จำเลยเช่าจากโจทก์ในคดีนี้ทั้งหมดอยู่ในเขตของกรมชลประทานตั้งแต่ พ.ศ. 2490 ครั้งยังเป็นที่ของนางแดงก่อนโอนมาเป็นของโจทก์ จำเลยร้องขอให้ศาลชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์

ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธประการใดในที่พิพาท เพราะตกเป็นที่ของกรมชลประทานก่อนโอนมาเป็นของโจทก์แล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่าสัญญาเช่าเป็นสัญญาต่างตอบแทนแม้โจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ก็เป็นผู้ให้่าได้ และโจทก์มีอำนาจฟ้องได้ตามสัญญานั้นพิพากษากลับให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่าที่ดินที่พิพาทรวมอยู่ในโฉนดที่ 686 ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของนางแดง ต่อมานางแดงได้แบ่งที่ด้านริมคลองให้กรมชลประทานไป คงเหลืออีก 65 ไร่ 52 วา ต่อมานางแดงขายส่วนที่เหลือให้แก่ น.ส.หรั่งกุ่น โจทก์ ต่อมาโจทก์และจำเลยทั้ง 4 ได้ทำสัญญาเช่าต่อกันตามสำเนาท้ายฟ้องมีข้อความว่า จำเลยเช่านาของโจทก์เฉพาะด้านริมคลอง ปรากฏว่าที่ที่ตกลงเช่ากันนี้ทั้งหมดเป็นที่ของกรมชลประทาน หาใช่ที่ดินของโจทก์ไม่

โดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเห็นว่าเรื่องนี้สัญญาเช่าระบุว่าเช่าที่นาของโจทก์ และฟ้องของโจทก์ก็ยืนยันว่าเป็นเช่นนั้น จึงขอให้ศาลขับไล่จำเลยออกจากที่นาของโจทก์ตามฟ้องของโจทก์หาได้กล่าวอ้างถึงสิทธิอื่นใดขึ้นสนับสนุนอีกไม่ เป็นการยืนยันแสดงสิทธิของโจทก์โดยตรงแต่อย่างเดียวว่าโจทก์เป็นเจ้าของ ที่นารายพิพาทและมีอำนาจให้เช่าได้เพราะเหตุนั้น บัดนี้โจทก์กลับยอมรับว่าที่ดินนั้นไม่ใช่ของโจทก์ดังฟ้องแต่เป็นของกรมชลประทานโดยเจ้าของเดิมได้แยกโฉนดแบ่งยกให้กรมชลประทานไปแล้วก่อนโอนขายให้แก่โจทก์โจทก์จึงไม่มีสิทธิอันใดเหนือที่ดินรายนี้ ตลอดจนการให้เช่าทั้งมวล

ที่โจทก์โต้แย้งว่าสัญญาเช่าปิดปากผู้เช่ามิให้โต้เถียงสิทธิของผู้ให้เช่านั้น เห็นว่าเรื่องนี้โจทก์รับเองว่าไม่ใช่เจ้าของที่ดินรายนี้ และไม่มีสิทธิอันใดดังฟ้องที่ตนเสนอขึ้นมา จึงไม่ใช่เรื่องกฎหมายปิดปาก

พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share