แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยข้อหาความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค ระหว่างออกหมายจับจำเลยตกลงผ่อนชำระหนี้โดยชำระเงินสดส่วนหนึ่ง และสั่งจ่ายเช็คชำระส่วนหนึ่ง โจทก์จึงถอนฟ้อง ต่อมาธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คดังกล่าวดังนี้ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไปเฉพาะคดีเดิมเท่านั้น เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คที่ออกใหม่วันใด ก็เป็นความผิดที่เกิดขึ้นใหม่วันนั้น โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ ในเช็คดังกล่าวได้
ย่อยาว
คดีทั้งสามสำนวน ศาลชั้นต้นได้พิจารณาพิพากษารวมกัน โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๓ และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า เดิมจำเลยเป็นหนี้โจทก์ ๑๒๐,๐๐๐ บาท สั่งจ่ายเช็คสองฉบับเพื่อชำระหนี้ แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่าย โจทก์จึงฟ้องคดีอาญาสองสำนวนในข้อหาผิดพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค คดีอยู่ในระหว่างออกหมายจับจำเลยได้มาตกลงผ่อนชำระหนี้โดยชำระเงินสด ๒๐,๐๐๐ บาท และสั่งจ่ายเช็คฉบับละ ๒๐,๐๐๐ บาท จำนวน ๗ ฉบับ ลงวันที่สั่งจ่ายห่างกันฉบับละเดือน ทุกวันที่ ๑๒ ของเดือน โจทก์จึงถอนฟ้องคดีทั้งสองสำนวนต่อมาธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทั้งหมดโดยให้เหตุผลว่าโปรดติดต่อผู้สั่งจ่าย และจำเลยไม่มีเงินในบัญชีพอจ่าย เชื่อว่าเป็นการตกลงผ่อนชำระหนี้เดิมโดยการสั่งจ่ายเช็ค ไม่ใช่ออกเช็คเพื่อค้ำประกัน จำเลยมีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๓ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ เรียงกระทงลงโทษ ตามสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๔๐๐/๒๕๒๘ จำคุกกระทงละ ๒ เดือน ๒ กระทง เป็นจำคุก ๔ เดือน ตามสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๔๐๑/๒๕๒๘ จำคุกกระทงละ ๒ เดือน ๓ กระทง เป็นจำคุก๖ เดือน ตามสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๖๘๒/๒๕๒๘ จำคุกกระทงละ๒ เดือน ๒ กระทง เป็นจำคุก ๔ เดือน นับโทษทั้งสามสำนวนติดต่อกันตามลำดับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาว่า โจทก์จำเลยตกลงกันในคดีเดิมโดยจำเลยชำระเงินสด๒๐,๐๐๐ บาท งวดแรก งวดต่อไปเดือนละ ๒๐,๐๐๐ บาท โดยออกเช็คล่วงหน้า๗ ฉบับ ที่ฟ้องเป็นประกัน โจทก์ยอมถอนฟ้องคดีเดิมไปเป็นการประนีประนอมยอมความกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๓๙(๒) สิทธินำคดีนี้มาฟ้องจึงระงับสิ้นไป โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยทั้งสามสำนวนนี้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงศาลฎีกาจึงต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมาว่าจำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้ มีเจตนาไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยออกเช็คดังกล่าวเป็นการปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีเดิม ซึ่งโจทก์ถอนฟ้องไปแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องจึงระงับไปทั้งหมดนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไปเฉพาะคดีเดิมเท่านั้น เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คที่ออกใหม่วันใดก็เป็นความผิดที่เกิดขึ้นใหม่วันนั้น โจทก์มีสิทธิฟ้องคดีทั้งสามสำนวนนี้ คำพิพากษาฎีกาที่๑๙๗๗/๒๕๒๓ ที่จำเลยอ้าง ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้
พิพากษายืน.