คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 135/2502

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อคดีได้ความว่าหนี้จำนองรายนี้เป็นเรื่องที่จำเลยรับเงินจากโจทก์ไปใช้ในลักษณะยืมเงินแล้วทำสัญญาจำนองที่ดินเป็นประกันการชำระหนี้ ดังนั้น การที่จะนำสืบถึงการชำระหนี้จะต้องนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรค 2 มาใช้บังคับ จำเลยคงมีแต่พยานบุคคลมาสืบว่าได้ชำระหนี้แล้วข้อนำสืบของจำเลยดังกล่าวจึงรับฟังไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ทำสัญญาจำนองที่ดินยังไม่มีโฉนด ตำบลสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรีไว้ต่อโจทก์ยอมคิดดอกเบี้ยให้โจทก์ร้อยละ 15 ต่อปี ต่อมาจำเลยที่ 1 ลอบนำเจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดออกโฉนดที่ดินแปลงที่จำนองไว้กับโจทก์ลงชื่อจำเลยที่ 1-2-3 ถือกรรมสิทธิ์ตามโฉนดที่ 4935 โดยโจทก์ไม่รู้แล้วจำเลยที่ 1-2 นำโฉนดที่ 4935 ไปจำนองไว้กับจำเลยที่ 4 แล้วต่อมาจำเลยที่ 1-2 ได้โอนขายที่ดินโฉนดดังกล่าวเฉพาะส่วนของตนให้จำเลยที่ 4 ทั้งนี้ โดยจำเลยที่ 1-2 และ 4 สมยอมกันโดยไม่สุจริต เพื่อฉ้อโกงโจทก์ คงเหลือที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนของจำเลยที่ 3 อีกส่วนหนึ่ง ที่ดินเฉพาะส่วนนี้เดิมเป็นที่ดินของจำเลยที่ 1 จำนองไว้กับโจทก์ การจำนองรายนี้ยังมิได้ชำระต้นเงินและดอกเบี้ย จึงฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินโฉนดที่ 4935 ระหว่างจำเลยที่ 1-2 กับจำเลยที่ 4 และถอนชื่อจำเลยที่ 3 ออกจากโฉนดที่ 4935 บังคับจำนองในที่ดินส่วนนี้โดยให้จำเลยร่วมกันชำระต้นเงินและดอกเบี้ยรวมเป็นเงิน 17,500 บาท ฯลฯ

จำเลยที่ 1 รับว่า ได้จำนองที่ดินตามสัญญาท้ายฟ้องจริง แต่โจทก์แนะให้จำเลยรังวัดออกโฉนดใหม่เพื่อนำไปจำนองให้แก่จำเลยที่ 4 นำเงินมาชำระโจทก์ จำเลยที่ 1 จึงจัดการตามโจทก์แนะ และได้นำเงินมาชำระหนี้จำนองแก่โจทก์แล้ว แต่ที่ไม่ได้ไปไถ่ถอนการจำนองจากโจทก์ ก็เนื่องจากโจทก์บอกว่าเมื่อที่ดินมีโฉนดแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปทำการไถ่ถอนให้เสียเวลา โฉนดไม่มีรายการจำนองกับโจทก์เป็นการหมดการจำนองไปเลย ฯลฯ

จำเลยที่ 4 ต่อสู้ว่า รับจำนองไว้โดยสุจริต ฯลฯ

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังพยานบุคคลของจำเลยในข้อที่ว่าได้ชำระหนี้จำนอง แต่เห็นว่าพยานจำเลยไม่มีเหตุผล ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้ชำระหนี้แก่โจทก์แล้วและจำเลยที่ 4 รับจำนองไว้โดยรู้ว่าที่ดินแปลงนี้จำนองอยู่แก่โจทก์อยู่ก่อนแล้ว พิพากษาให้เพิกถอนชื่อจำเลยที่ 3 ออกจากโฉนดที่ 4935 และเพิกถอนนิติกรรมโอนที่ดินเฉพาะส่วนหลุดเป็นสิทธิตามโฉนดฉบับนี้ระหว่างจำเลยที่ 1-2 กับจำเลยที่ 4 เสีย ให้จำเลยชำระหนี้จำนองและดอกเบี้ย ฯลฯ

จำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียวฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อนำสืบของจำเลยที่ 1 ที่ว่าชำระหนี้จำนองแก่โจทก์นั้น ขัดต่อเหตุผลแต่อย่างไรก็ตาม หนี้จำนองรายนี้เป็นเรื่องที่จำเลยรับเงินจากโจทก์ไปใช้ในลักษณะยืมเงินแล้วทำสัญญาจำนองที่ดินเป็นประกันการชำระหนี้ การที่จะนำสืบถึงการชำระหนี้จะต้องนำ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรค 2 มาใช้บังคับ จำเลยคงมีแต่พยานบุคคลมาสืบว่าชำระหนี้แล้ว ข้อนำสืบของจำเลยจึงรับฟังไม่ได้ตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ 52/2480 ระหว่างนางมี แก้วดี โจทก์ นายม่วง โพนงาม (นางคุ้มภรรยาผู้รับมรดกความ) จำเลย

พิพากษายืน

Share