แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้คัดค้านที่ 1 มิได้อุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นที่วินิจฉัยว่า ผู้คัดค้านที่ 1 กระทำความผิดเกี่ยวกับการลักลอบหนีศุลกากรอันเป็นความผิดมูลฐานหนึ่งที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง คงอุทธรณ์เถียงแต่เฉพาะว่าผู้คัดค้านที่ 1 มิได้มีพฤติการณ์เป็นผู้ต้องสงสัยเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ เท่านั้น ข้อเท็จจริงจึงต้องฟังยุติว่า ผู้คัดค้านที่ 1 กระทำความผิดเกี่ยวกับการลักลอบหนีศุลกากรตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร อันเป็นความผิดมูลฐานตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2522 มาตรา 3 (7) ซึ่งศาลย่อมมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตามคำร้องตกเป็นของแผ่นดิน
ย่อยาว
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินดังกล่าวตามบัญชีทรัพย์เอกสารท้ายคำร้องหมายเลข 4 พร้อมดอกผลอันเกิดมีขึ้นซึ่งเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดของนางเชาวนี และผู้คัดค้านทั้งสองกับพวกตกเป็นของแผ่นดิน ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 49 และ 51 ต่อไป
ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนและประกาศตามกฎหมายแล้ว
นางเชาวนี ไม่ยื่นคำคัดค้าน
ผู้คัดค้านทั้งสองยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านทั้งสองไม่ได้กระทำความผิดอาญาหรือเป็นผู้ประกอบอาชญากรรมโดยถูกจับกุมดำเนินคดีต่อศาล และไม่เข้าลักษณะความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 ผู้คัดค้านทั้งสองได้ทรัพย์สินตามบัญชีทรัพย์ท้ายคำร้องของผู้ร้องมาโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเป็นรายได้จากการประกอบธุรกิจค้าไม้ที่ผู้คัดค้านที่ 1 ร่วมลงทุนในประเทศมาเลเซีย การยึดและหรืออายัดของคณะกรรมการธุรกรรมไม่ชอบเพราะผู้คัดค้านทั้งสองไม่ได้กระทำความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 การที่คณะกรรมการธุรกรรมนำทรัพย์สินที่ยึดและหรืออายัดบางส่วนไปขายทอดตลาดโดยไม่ได้แจ้งให้ผู้คัดค้านทั้งสองทราบเป็นการขายทอดตลาดโดยไม่ชอบ ขอให้ยกคำร้อง และขอให้ศาลมีคำสั่งคืนทรัพย์สินแก่ผู้คัดค้านทั้งสองและบุตรทั้งสี่ของผู้คัดค้านทั้งสองด้วย
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งให้ทรัพย์สินจำนวน 21 รายการที่คณะกรรมการธุรกรรมมีคำสั่งให้ยึดและอายัดไว้ตามบัญชีทรัพย์ พร้อมดอกผลของทรัพย์สินดังกล่าวอันเกิดมีขึ้นตกเป็นของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 51 วรรคหนึ่ง ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนของผู้คัดค้านทั้งสองให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของผู้คัดค้านทั้งสอง คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์แก่ผู้คัดค้านทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากนี้ให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า ปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาประการแรกของผู้คัดค้านทั้งสองมีว่า ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของผู้คัดค้านทั้งสองถูกต้องชอบแล้วหรือไม่ เห็นว่า ตามคำร้องของผู้ร้องกล่าวอ้างเป็นข้อสำคัญว่านอกจากนางเชาวนีและผู้คัดค้านที่ 1 กับพวกเป็นผู้มีพฤติการณ์ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษแล้ว นางเชาวนีและผู้คัดค้านที่ 1 กับพวกยังมีพฤติการณ์ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับการลักลอบหนีศุลกากรตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร ซึ่งล้วนเป็นความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3 (1) (7) และศาลชั้นต้นมีคำสั่งโดยวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามพยานหลักฐานของผู้ร้องว่า ผู้คัดค้านที่ 1 มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษ และได้กระทำความผิดเกี่ยวกับการลักลอบหนีศุลกากรตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร อันเป็นความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3 (1) (7) สำหรับ ผู้คัดค้านที่ 2 ซึ่งเป็นภริยาของผู้คัดค้านที่ 1 รวมทั้งบุตรอีก 4 คนของผู้คัดค้านที่ 1 ถือได้ว่าต่างเป็นผู้เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งเป็นผู้กระทำความผิดมูลฐาน จึงมีคำสั่งให้ทรัพย์สิน 21 รายการตามคำร้องตกเป็นของแผ่นดินตามมาตรา 51 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน ดังนี้ เมื่อผู้คัดค้านที่ 1 มิได้อุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นที่วินิจฉัยว่า ผู้คัดค้านที่ 1 กระทำความผิดเกี่ยวกับการลักลอบหนีศุลกากรอันเป็นความผิดมูลฐานหนึ่งที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง คงอุทธรณ์เถียงแต่เฉพาะว่าผู้คัดค้านที่ 1 มิได้มีพฤติการณ์เป็นผู้ต้องสงสัยเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ เท่านั้น ข้อเท็จจริงจึงต้องฟังยุติว่าผู้คัดค้านที่ 1 กระทำความผิดเกี่ยวกับการลักลอบหนีศุลกากรตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร อันเป็นความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2522 มาตรา 3 (7) ซึ่งศาลย่อมมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตามคำร้องตกเป็นของแผ่นดินอยู่นั่นเอง ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาโดยวินิจฉัยว่า อุทธรณ์ของผู้คัดค้านที่ 1 ที่ว่า ผู้คัดค้านที่ 1 ไม่ได้เกี่ยวข้องหรือกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษไม่เป็นสาระสำคัญที่ศาลอุทธรณ์จะต้องวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลคดีตามคำสั่งศาลชั้นต้นเปลี่ยนแปลงไป จึงชอบแล้ว ส่วนผู้คัดค้านที่ 2 ก็มิได้อุทธรณ์ว่า ผู้คัดค้านที่ 2 มิได้เป็นผู้เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้คัดค้านที่ 1 ดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมา คงอุทธรณ์เถียงเพียงว่า ผู้คัดค้านที่ 2 ไม่ได้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษและการลักลอบหนีศุลกากร ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผู้คัดค้านที่ 1 รับฟังได้ดังวินิจฉัยมาข้างต้น ผู้คัดค้านที่ 2 ซึ่งเป็นผู้เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้คัดค้านที่ 1 ที่เป็นผู้กระทำความผิดมูลฐาน ผู้คัดค้านที่ 2 จึงอยู่ในฐานะต้องมีภาระการพิสูจน์ถึงที่มาของทรัพย์สินตามคำร้อง แต่ตามอุทธรณ์ของผู้คัดค้านที่ 2 มิได้อุทธรณ์เถียงในข้อดังกล่าวมาด้วย ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า อุทธรณ์ของผู้คัดค้านที่ 2 ซึ่งเถียงว่าผู้คัดค้านที่ 2 ไม่ได้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษและมิได้เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดต่อกฎหมายว่าด้วยศุลกากร ล้วนไม่เป็นสาระสำคัญที่ศาลอุทธรณ์จะต้องวินิจฉัย จึงชอบแล้ว ฎีกาของผู้คัดค้านทั้งสองในประการนี้ฟังไม่ขึ้น ไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของผู้คัดค้านทั้งสองในประการอื่นที่เหลืออีกต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาเป็นพับ