แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยร่วมกันทำบัญชีเท็จขึ้นโดยไม่ลงรายการรับชำระหนี้ที่นายน้อยได้ชำระหนี้แก่บริษัทจำเลย การกระทำดังกล่าวเป็นแต่ทำเอกสารด้วยข้อความเท็จ บัญชีเหล่านั้นเป็นบัญชีของจำเลยทำขึ้นเองทั้งฉบับ มิได้ปลอมเอกสารอันแท้จริงของผู้ใด จึงไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร และการที่จำเลยใช้เอกสารนั้นย่อมไม่เป็นความผิดฐานใช้เอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 264,268
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ตกลงทำสัญญาค้ำประกันและมอบโฉนดที่ดินพร้อมกับบ้านหนึ่งหลังให้ธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การสาขาสุพรรณบุรี ยึดถือไว้เป็นประกัน และธนาคารทำสัญญารับรองหนี้สินของนายน้อยต่อบริษํทจำเลย ต่อมานายน้อยได้รับภาชนะและน้ำหวานจากบริษัทจำเลยไปจำหน่ายเป็นคราว ๆ โดยบริษัทจำเลยเปิดบัญชีหนี้สินของนายน้อยซึ่งเป็นตัวแทนของบริษัทจำเลยขึ้น เมื่อนายน้อยเอาเงินสดไปชำระหนี้และส่งภาชนะคืน บริษัทจำเลยก็คิดเป็นตัวเงินออกใบรับให้ และลงรายการหักบัญชียอดเงินหนี้สินทุกครั้ง ต่อมาบริษัทจำเลยเลิกสัญญากับนายน้อยและว่านายน้อยเป็นหนี้อยู่ ๔๘,๖๒๐ บาท บริษัทจำเลยได้ให้ธนาคารชำระเงินจำนวนดังกล่าว ธนาคารฟ้องโจทก์ต่อศาลจังหวัดสุพรรณบุรี ให้ชำระเงินจำนวนดังกล่าวต่อธนาคาร เมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๐๖ จำเลยได้ร่วมกันทำบัญชีเท็จขึ้น โดยจำเลยที่ ๓ ผู้ทำบัญชี จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ลงชื่อรับรอง จำเลยที่ ๑ เป็นผู้ยืนยันบัญชีเท็จนั้นว่าเป็นบัญชีที่หถูกต้องแท้จริง โดยบัญชีดังกล่าวไม่ได้ลงรายการรับชำระหนี้จากนายน้อย ๗ รายการ รวมเป็นเงิน ๔๖,๘๔๗ บาท ความจริงเงินที่นายน้อยชำระหนี้ให้บริษัทจำเลยไป ๙ ครั้ง รวมเป็นเงิน ๕๓,๓๑๗ บาท ถ้าจำเลยได้ลงบัญชีตามความเป็นจริงแล้ว นายน้อยไม่ต้องชำระให้จำเลยอีก จำเลยนำเอกสารปลอมนี้ไปใช้แก่ธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การ สาขาสุพรรณบุรี ทั้งจำเลยที่ ๑ ยืนยันต่อธนาคารและเบิกความต่อศาลแพ่งว่า บัญชีเท็จที่จำเลยทำขึ้นเป็นบัญชีอันถูกต้องแท้จริง ทำให้ธนาคารต้องจ่ายเงินแก่บริษัทจำเลยไปเป็นเงิน ๕๘,๖๒๐ บาท เป็นการเสียหายแก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันหนี้นายน้อย ต่อธนาคาร โดยจะต้องจ่ายเงินจำนวนนี้ พร้อมกับดอกเบี้ยแก่ธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การจำกัด สาขาสุพรรณบุรี ตามคำพิพากษาของศาลจังหวัดสุพรรณบุรี
ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๔,๒๖๘,๘๓
ศาลชั้นต้นเห็นว่า เป็นเรื่องที่จำเลยทำบัญชีของบริษัทเอง จำเลยมิได้ปลอมแปลงเอกสารบัญชีผู้ใด พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาเป็นข้อกฎหมายว่า การกระทำตามฟ้องเป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร และใช้เอกสารปลอม ตามมาตรา ๒๖๔ และ ๒๖๘ แห่งประมวลกฎหมายอาญา
ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จะฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันทำบัญชีเท็จขึ้น โดยไม่ลงรายการรับชำระหนี้ที่นายน้อยได้ชำระหนี้แก่บริษัทจำเลยก็ตาม การกระทำดังกล่าวเป็นแต่ทำเอกสารด้วยข้อความเท็จ บัญชีเหล่านั้นเป็นบัญชีของจำเลยทำขึ้นเองทั้งฉบับ มิได้ปลอมเอกสารอันแท้จริงของผู้ใด จึงไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร และการที่จำเลยใช้เอกสารนั้น ย่อมไม่เป็นความผิดฐานใช้เอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๖๔,๒๖๘
พิพากษา