คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1324/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

มาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกากำหนดป่าไสโป๊ะ ฯ ให้เป็นป่าคุ้มครอง พ.ศ.2496 บัญญัติว่า “ให้ป่าไสโป๊ะในท้องที่ตำบลกระบี่น้อย อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้เป็นป่าคุ้มครอง” ดังนี้การที่จะวินิจฉัยว่าที่พิพาทอยู่ในเขตป่าคุ้มครองหรือไม่จะต้องพิจารณาจากแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาประกอบด้วย แม้ได้ความว่าที่พิพาทอยู่ในท้องที่ตำบลกระบี่ใหญ่ มิใช่ตำบลกระบี่น้อยก็ตามแต่เมื่อปรากฏว่าอยู่ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกา ก็ต้องถือว่าที่พิพาทอยู่ในเขตป่าคุ้มครองตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว
แม้ที่พิพาทจะมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ แต่เมื่อได้มาหลังจากที่ได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ที่พิพาทเป็นป่าคุ้มครองแล้ว จึงหามีผลให้ได้สิทธิอย่างใดยันต่อแผ่นดินได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ พ.ศ. 2485 นายหยิน เต้กกิ้ม ได้จับจองที่ดิน 1 แปลง อยู่หมู่ที่ 1 ตำบลกระบี่ใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ ได้ปลูกเรือนทำประโยชน์และได้แจ้ง ส.ค.1 แล้ว เมื่อ พ.ศ. 2501 นายหยินตาย นายบุญบุตร ได้รับมรดกและขอรับรองการทำประโยชน์แล้วโอนขายให้โจทก์เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2502 ปลาย พ.ศ. 2509 ได้มีเจ้าพนักงานกรมป่าไม้ภายใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 2 บุกรุกรังวัดสอบเขตทับที่ดินของโจทก์ทั้งแปลง เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม2469 จำเลยที่ 1 ได้ออกประกาศพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ป่าไสโป๊ะในท้องที่ตำบลกระบี่น้อย อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ เป็นป่าคุ้มครอง แต่ปรากฏว่าแนวเขตในแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกานั้นผิดพลาด โดยรุกล้ำเข้าไปทับที่ดินของราษฎรในท้องที่ตำบลทับปริกและตำบลกระบี่ใหญ่ซึ่งอยู่นอกท้องที่ตำบลกระบี่น้อย เป็นผลให้ที่ดินของโจทก์ถูกคุ้มครองติดแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวไปด้วยทั้งนี้ด้วยความจงใจประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของจำเลยทั้งสอง และปรากฏว่ามิได้มีการปิดประกาศโฆษณาให้เจ้าของที่ดินในท้องที่ตำบลทับปริกและตำบลกระบี่ใหญ่ทราบ ฉะนั้นที่ดินนอกตำบลตามพระราชกฤษฎีกาจึงไม่เป็นป่าคุ้มครองตามกฎหมาย แม้ต่อมาจะมีพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 กำหนดให้ป่าคุ้มครองซึ่งมีมาก่อนเป็นป่าสงวนแห่งชาติก็ไม่มีผลบังคับ ขอให้ศาลพิพากษาว่าพระราชกฤษฎีกาคุ้มครองสงวนป่าไสโป๊ะ มาตรา 3 ส่วนที่รุกล้ำเข้าไปในท้องที่ตำบลทับปริกตำบลกระบี่ใหญ่และทับที่ดินของโจทก์นั้นผิดกฎหมาย ห้ามจำเลยและบริวารมิให้เข้ารังวัดสอบเขตทับที่ดินของโจทก์และมิให้เกี่ยวข้องขัดขวางการใช้สิทธิครอบครองของโจทก์

จำเลยทั้งสองให้การว่า นายยิ้น เต็กกิ้ม ได้บุกรุกยึดถือที่พิพาทโดยพลการที่พิพาทเป็นที่ดินในเขตป่าคุ้มครองตามพระราชกฤษฎีกา กำหนดป่าไสโป๊ะฯ ให้เป็นป่าคุ้มครอง พ.ศ. 2469 และอยู่ภายในแผนที่พระราชกฤษฎีกา ได้มีการสำรวจและออกประกาศให้ทราบแล้ว ไม่มีผู้ใดคัดค้าน นายยิ้นยื่น ส.ค.1โดยไม่สุจริต ไม่มีสิทธิในที่พิพาท หนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่เจ้าพนักงานออกให้นายบุญ ออกให้ไม่ชอบและไม่สุจริต นายยิ้น นายบุญและโจทก์ต่างก็ทราบว่าที่พิพาทเป็นป่าคคุ้มครองจตามพระราชกฤษฎีกา จึงไม่มีสิทธิอย่างใดจำเลยทั้งสองและเจ้าหน้าที่มิได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อกลั่นแกล้งโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิขอให้ศาลสั่งตามคำขอ เพราะเป็นผลให้ยกเลิกเพิกถอนกฎหมาย เจ้าหน้าที่ของจำเลยทั้งสองเพียงแต่ตรวจสอบเขตแนวแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาเท่านั้น มิได้โต้แย้งสิทธิรบกวนสิทธิหรือทุจริตกลั่นแกล้งโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย โจทก์นำคดีมาสู่ศาลโดยไม่สุจริต ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า พระราชกฤษฎีกากำหนดป่าไสโป๊ะ ในท้องที่ตำบลกระบี่น้อย อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ ให้เป็นป่าคุ้มครองพ.ศ. 2496 ไม่มีผลบังคับให้ที่พิพาทของโจทก์เป็นป่าคุ้มครองและเป็นป่าสงวนแห่งชาติตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 ห้ามจำเลยและบริวารเข้ารังวัดสอบเขตและห้ามเกี่ยวข้องขัดขวางการใช้สิทธิครอบครองของโจทก์ คำขออื่นของโจทก์ให้ยก

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ที่พิพาทอยู่ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกากำหนดป่าไสโป๊ะในท้องที่ตำบลกระบี่น้อย อำเภอกระบี่น้อย จังหวัดกระบี่ ให้เป็นป่าคุ้มครอง พ.ศ. 2496 ขณะเจ้าพนักงานป่าไม้สำรวจเพื่อออกพระราชกฤษฎีกาให้เป็นป่าคุ้มครอง ยังไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของที่พิพาทเจ้าพนักงานได้ประกาศและชี้แจงให้ราษฎรในท้องที่ตำบลกระบี่ใหญ่ทราบแล้วนายยิ้นเพิ่งเข้าครอบครองหลังจากมีพระราชกฎษฎีกาดังกล่าวแล้ว

ที่โจทก์ฎีกาว่าที่พิพาทอยู่ในท้องที่ตำบลกระบี่ใหญ่ แต่ตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวกำหนดเฉพาะป่าไสโป๊ะในท้องที่ตำบลกระบี่น้อยเท่านั้นให้เป็นป่าคุ้มครองฉะนั้นที่พิพาทจึงอยู่นอกเขตป่าคุ้มครองนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จะวินิจฉัยว่าที่พิพาทอยู่ในเขตป่าคุ้มครองตามพระราชกฤษฎีกากำหนดป่าไสโป๊ะในท้องที่ตำบลกระบี่น้อย อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ ให้เป็นป่าคุ้มครอง พ.ศ. 2496 หรือไม่นั้น จะต้องพิจารณาจากแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกานั้นประกอบด้วย เพราะมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวบัญญัติว่า “ให้ป่าไสโป๊ะในท้องที่ตำบลกระบี่น้อย อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ ภายในเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้เป็นป่าคุ้มครอง” ฉะนั้นจะพิจารณาแต่เพียงท้องที่ตำบลกระบี่น้อยอย่างเดียวเท่านั้นหาถูกต้องไม่ เพราะการจะรู้ว่าป่าคุ้มครองตามพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้มีอาณาเขตกว้างยาวมากน้อยเพียงใดก็ต้องดูจากแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกานั้น หากดูแต่ชื่อตำบลอย่างเดียวจะทราบได้อย่างไรว่าป่าคุ้มครองที่กำหนดนั้นมีอาณาเขตกว้างยาวเพียงใด ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับศาลอุทธรณ์ที่วินิจฉัยว่าที่พิพาทอยู่ในเขตป่าคุ้มครองตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว

ที่โจทก์อ้างว่าที่พิพาทมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์อันเป็นเอกสารมหาชนต้องถือว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงและถูกต้อง แสดงว่าที่พิพาทมิได้อยู่ในเขตป่าคุ้มครองนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่พิพาทอยู่ในเขตป่าคุ้มครอง ฉะนั้นแม้ที่พิพาทจะมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์แต่ก็ได้หนังสือรับรองการทำประโยชน์นั้นมาใน พ.ศ. 2502 หลังจากที่ได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดป่าไสโป๊ะเป็นป่าคุ้มครองแล้ว ฉะนั้นหนังสือรับรองการทำประโยชน์นั้นจึงมีหามีผลให้โจทก์ได้สิทธิอย่างใดในที่พิพาทยันต่อแผ่นดินได้ไม่ ทั้งนี้โดยไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์นี้ได้มาโดยชอบเพียงใดหรือไม่

พิพากษายืน

Share