แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ปลูกเรือนหอบนที่ดินของพี่ชายหญิงคู่หมั้น โดยบิดาหญิงให้ปลูกและว่าเจ้าของที่ดินไม่ขัดข้อง แต่ความจริงเจ้าของมิได้รู้เห็นยินยอมอนุญาตแต่ประการใดดังนี้ จะถือว่าการปลูกสร้างนั้นกระทำไปโดยสุจริตไม่ได้เพราะทราบดีอยู่แล้วว่าเป็นที่ของผู้อื่น จะบังคับให้เจ้าของที่ดินรับซื้อโรงเรือนนั้นไว้ก็ไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า บิดาโจทก์ตกลงหมั้นจำเลยที่ 1 เพื่อสมรสกับโจทก์จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นบิดาจำเลยที่ 1 ได้เรียกทองหมั้นกับโจทก์ปลูกเรือนหอในที่ดินของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นพี่จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 มิได้ทักท้วงประการใด บัดนี้จำเลยที่ 1-3 ปฏิเสธการสมรส โจทก์จึงขอให้ศาลแสดงว่าเรือนหอ และสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินของจำเลยที่ 2 นั้นเป็นทุนทรัพย์ของโจทก์เป็นผู้สร้างโดยสุจริต ให้ศาลพิพากษาว่าจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของแต่ต้องชำระเงิน 60,000 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ดินเพิ่มขึ้นให้แก่โจทก์หรือให้โจทก์รื้อเรือนหอไปถ้าไม่อาจบังคับได้ก็ขอให้จำเลยที่ 3 ชำระค่าทดแทน
ศาลชั้นต้นยกฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 และพิพากษาว่าเรือนหอและสิ่งปลูกสร้างเป็นของโจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา โจทก์ฎีกาขอให้บังคับจำเลยที่ 2 ตามฟ้อง จำเลยที่ 1ฎีกาขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ปลูกเรือนลงไปในที่ดินของผู้อื่นโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของผู้อื่น คือจำเลยที่ 2 นั้นและจำเลยที่ 2 ก็มิได้รู้เห็นยินยอมอนุญาตแต่ประการใดโจทก์จะอ้างว่าการปลูกสร้างได้ทำไปโดยหลงเชื่อบุคคลที่ 3 เจ้าของกรรมสิทธิ์ไม่ขัดข้องแล้วเป็นการกระทำโดยสุจริตมายันเจ้าของที่ดินให้ต้องรับภาระถูกบังคับซื้อโรงเรือนนั้นหาได้ไม่ จึงพิพากษายืน