แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 กระชากสร้อยคอผู้เสียหายได้แล้ววิ่งหนีไปซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่จำเลยที่ 2 จอดติดเครื่องคอยอยู่ห่างที่เกิดเหตุ 10 วาเศษ แล้วจำเลยที่ 2 ขับรถนั้นหาจำเลยที่ 1 หนีไปในทันใด พฤติการณ์เช่นนี้แสดงว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 ในการทำความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์โดยแบ่งหน้าที่กันทำ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันวิ่งราวสร้อยคอทองคำและพระเลี่ยมทอง ๑ องค์ ของผู้เสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๖, ๘๓ กับให้จำเลยร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองกระทำผิดตามฟ้อง ลงโทษจำคุกจำเลยคนละ ๓ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๖, ๘๓ และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคา ๑,๗๐๐ บาทแก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยที่ ๑ กระทำผิดจริงตามฟ้อง แต่จำเลยที่ ๒ เป็นเพียงผู้สนับสนุนในการที่จำเลยที่ ๑ กระทำผิด พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่าจำเลยที่ ๒ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๖ ประกอบด้วยมาตรา ๘๖ จำคุกจำเลยที่ ๒ ไว้ ๒ ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๒ ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ กระชากสร้อยคอผู้เสียหายแล้ววิ่งหนีไปนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ ๒ ล้อที่จำเลยที่ ๒ ติดเครื่องรออยู่ห่างจากที่เกิดเหตุ ๑๐ วาเศษ แล้วจำเลยที่ ๒ ออกรถพาจำเลยที่ ๑ หนีไปทันที พฤติการณ์ของจำเลยที่ ๒ ดังกล่าวแสดงว่าต้องได้ร่วมรู้เห็นเตรียมการกับจำเลยที่ ๑ ที่จะมากระทำผิดด้วยกันมาก่อน มิฉะนั้นคงไม่ติดเครื่องรถคอยอยู่ การที่จำเลยที่ ๒ ออกรถพาจำเลยที่ ๑ หนีไปทันที ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ ๒ ได้ร่วมในการพาทรัพย์ที่จำเลยที่ ๑ ฉกฉวยมาจากผู้เสียหายไป อันเป็นการกระทำส่วนหนึ่งที่จะอำนวยให้ความผิดวิ่งราวทรัพย์บรรลุผลสำเร็จ เข้าลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำ การกระทำของจำเลยที่ ๒ จึงเป็นการกระทำผิดด้วยกัน เป็นตัวการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น