แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า เมื่อโจทก์ได้ยื่นคำขอการรับรองการทำประโยชน์ต่ออำเภอ จำเลยได้ยื่นคำคัดค้านโดยอ้างว่าโจทก์รังวัดทับที่ของจำเลย ซึ่งโจทก์ได้รับทราบคำคัดค้านของจำเลยแล้ว ดังนี้ การคัดค้านของจำเลยซึ่งให้โจทก์ได้ทราบแล้วนั้น ถือได้ว่าจำเลยได้บอกกล่าวไปยังโจทก์โดยตรงว่าไม่เจตนาจะยึดถือที่พิพาทแทนโจทก์ หากแต่จะยึดถือเพื่อตนเองต่อไปตามมาตรา 1381 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าจำเลยได้ถือสิทธิครอบครองที่พิพาทเพื่อตนเองตั้งแต่นั้นแล้ว ซึ่งเป็นการแย่งการครอบครองของโจทก์อยู่ในตัว การฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองของโจทก์ต้องฟ้องภายใน 1 ปี ตามมาตรา 1375 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หากโจทก์ฟ้องเมื่อเกิน 1 ปีแล้วศาลก็ต้องยกฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินเนื้อที่ ๙๙ ตารางวา อยู่หมู่ที่ ๔ ตำบลนาเกลือ ซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่าเป็นของโจทก์เมื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๔๙๖ มารดาจำเลยได้เช่าจากโจทก์เพื่อปลูกบ้านอยู่อาศัย จำเลยได้อยู่ร่วมกับมารดาด้วย ครบสัญญาเช่าจำเลยไม่ยอมออก โจทก์บอกเลิกแล้ว จึงขอให้บังคับจำเลยให้ออกไป
จำเลยให้การว่า ที่พิพาทเป็นที่สาธารณะ จำเลยครอบครองมา ๑๗ – ๑๘ ปีแล้ว มารดาจำเลยไม่เคยเช่า เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๕ โจทก์อ้างว่าที่ดินที่จำเลยสร้างบ้านอยู่เป็นของโจทก์ มารดาจำเลยและจำเลยได้โต้แย้งคัดค้านว่าเป็นที่ดินว่าง น้ำท่วมถึง ไม่ใช่ของโจทก์
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยได้แสดงพฤติการณ์เป็นการแย่งการครอบครองและเจตนาเปลี่ยนการครอบครองโดยโจทก์ได้ทราบการแสดงเจตนานี้แล้ว นับแต่เดือนกันยายน ๒๕๐๕ โดยเปลี่ยนการครอบครองจากสิทธิการเช่ามาเป็นการครอบครองเพื่อตนเองและจำเลยยังคงครอบครองที่พิพาทตลอดมา เมื่อโจทก์นำคดีมาฟ้องในวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๐๗ จึงต้องห้ามตามมาตรา ๑๓๗๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ไม่จำเป็นวินิจฉัยประเด็นอื่น พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า เดือนสิงหาคม ๒๕๐๕ โจทก์ขอให้อำเภอเรียกมารดาจำเลยไปทำสัญญาเช่า มารดาจำเลยปฏิเสธว่าไม่ได้เช่าที่โจทก์ และไม่ยอมออกจากที่พิพาท ต่อมาโจทก์ได้ยื่นคำขอคำรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓) ต่อนายอำเภอ นอกจากจำเลยได้คัดค้านให้งดการรังวัดไว้แล้ว ปรากฏว่าในวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๐๕ จำเลยได้ยื่นคำขอคัดค้านการออก น.ส. ๓ ให้แก่โจทก์ต่อนายอำเภอว่า โจทก์ได้นำรังวัดทับที่ของจำเลย ขอให้งดการออก น.ส.ให้แก่โจทก์ โจทก์ได้ลงชื่อรับทราบคำคัดค้านของจำเลยในเดือนเดียวกัน ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จะฟังว่าในตอนแรกมารดาจำเลยหรือจำเลยเช่าที่พิพาทของโจทก์ การยึดถือของมารดาจำเลยหรือจำเลย เป็นการยึดถือในฐานะเป็นผู้เช่าหรือผู้แทนโจทก์ก็ตาม แต่ในตอนหลังคือตอนที่โจทก์ได้ยื่นคำขอรับรองการทำประโยชน์ต่อนายอำเภอ จำเลยได้ยื่นคำคัดค้านโดยอ้างว่าโจทก์รังวัดทับที่ของจำเลย ซึ่งโจทก์ได้รับทราบคำคัดค้านของจำเลยแล้ว การคัดค้านของจำเลยซึ่งให้โจทก์ได้ทราบแล้วนั้นถือได้ว่า จำเลยได้บอกกล่าวไปยังโจทก์โดยตรงว่าไม่เจตนาจะยึดถือที่พิพาทแทนโจทก์ แต่จะยืดถือเพื่อตนเองต่อไป ตามมาตรา ๑๓๘๑ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าจำเลยได้ถือสิทธิครอบครองที่พิพาทเพื่อตนเองตั้งแต่ต้นเดือนกันยายน ๒๕๐๕ เป็นต้นมา เป็นการแย่งการครอบครองของโจทก์ในตัว การฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองของโจทก์ต้องฟ้องภายใน ๑ ปี ตามมาตรา ๑๓๗๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่โจทก์เพิ่งฟ้องคดีนี้เมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๐๗ เกินกำหนด ๑ ปีแล้ว
พิพากษายืน