คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1305/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ชาวตลาดกับโจทก์ตั้งจำเลยที่ 2, 3, 4 กับ บ. เป็นตัวแทน ให้มีอำนาจตกลงกับ ส. และจำเลยที่ 1เกี่ยวกับการก่อสร้างและการเช่า โจทก์ได้ปฏิบัติตามสัญญาโดยวางเงินมัดจำช่วยค่าก่อสร้างแล้ว แม้จะปรากฏว่าผู้เช่าห้องบางรายมิได้วางเงินตามข้อสัญญา ดังนี้ จะถือว่าโจทก์ผิดสัญญาด้วยหาได้ไม่ เพราะต้องถือว่าชาวตลาดที่ลงชื่อในหนังสือแต่งตั้งจำเลยที่ 2, 3 และ 4กับ บ. เป็นตัวแทน ไม่ได้เป็นตัวการร่วมกัน จำเลยที่ 2, 3 และ 4 กับ บ. มีอำนาจทำหน้าที่เป็นตัวแทนชาวตลาดแต่ละคนนั้นแยกเป็นรายๆกัน
จำเลยรับเหมาปลูกสร้างตึกแถว โจทก์ประสงค์จะเช่าโดยยอมเสียเงินกินเปล่า จึงได้วางเงินมัดจำช่วยค่าก่อสร้าง แต่จำเลยก่อสร้างตึกแถวไม่ได้ เพราะกำลังเป็นความกับบุคคลภายนอกซึ่งเป็นผู้เช่าที่ดินจากกรมศาสนาและเป็นผู้จ้างจำเลยปลูกสร้าง ดังนี้ ถือว่าจำเลยไม่อยู่ในฐานะที่จะทำการชำระหนี้ฝ่ายตนตอบแทนโจทก์ได้ ถือไม่ได้ว่าการที่โจทก์ยังไม่ออกไปจากห้องเช่าเดิมเป็นความผิดของโจทก์ จำเลยจะริบมัดจำของโจทก์ไว้ไม่ได้
จำเลยไม่สามารถทำการก่อสร้างตลาดได้เพราะกรมการศาสนาบอกเลิกสัญญาเช่าที่ดินที่ปลูกสร้างตลาดกับ ส. กรณีจึงเข้ามาตรา 378(3) จำเลยจึงต้องคืนมัดจำให้โจทก์
จำเลยเป็นตัวแทนรับมอบอำนาจทั่วไป ไม่มีการมอบอำนาจโดยชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 801 จึงไม่มีอำนาจทำสัญญาประนีประนอมยอมความให้เป็นการผูกพันชาวตลาด.ซึ่งเป็นตัวการไม่ให้เรียกคืนเงินมัดจำได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่ร่วมกันรับเหมาปลูกสร้างตึกแถวและแผงลอยจากนายสง่า โจทก์ประสงค์จะเช่า ๒ ห้อง โดยยอมเสียเงินกินเปล่าให้ ๑๓๐,๐๐๐ บาท จำเลยรับรองว่าโจทก์จะมีสิทธิเช่าได้ ๑๒ ปี จำเลยทั้งสี่เรียกเงินมัดจำ ๒๐,๑๐๐ บาท และทำหนังสือรับผิดให้โจทก์เป็นหลักฐานและว่าจะลงมือปลูกสร้างภายใน๑๐ เดือน ต่อมามีอุปสรรคในการก่อสร้าง โจทก์บอกเลิกสัญญาและขอรับเงินมัดจำคืน จำเลยไม่คืน ขอให้จำเลยคืนเงินดังกล่าวและดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า เดิมนายสง่าและนางสังวาลย์เช่าที่ธรณีสงฆ์สร้างตลาด โจทก์กับจำเลยที่ ๒, ๓, ๔ กับคนอื่นเช่าค้าขายต่อมานายสง่านางสังวาลย์รื้อตลาด จึงทำสัญญาให้จำเลยที่ ๑ ปลูกสร้างโดยยอมให้จำเลยที่ ๑ เรียกเงินค่าช่วยก่อสร้างจากผู้จะเช่าชาวตลาดกับโจทก์ตั้งจำเลยที่ ๒, ๓, ๔ กับนายปักเว้งเป็นตัวแทนให้มีอำนาจตกลงกับนายสง่า นางสังวาลย์กับจำเลยที่ ๑ เกี่ยวกับการก่อสร้างและการเช่า ต่อมาตัวแทนชาวตลาดได้ทำสัญญากับจำเลยที่ ๑วางเงินมัดจำช่วยค่าก่อสร้างให้แก่จำเลยที่ ๑ เป็นเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทและรับจะนำผู้เช่าห้องและแผงลอยมาแต่เดิมมาทำสัญญาและวางเงินมัดจำช่วยค่าก่อสร้างกับจำเลยที่ ๑ ให้ครบทุกราย ต่อมาจำเลยที่ ๒, ๓, ๔กับนายบักเว้งผิดสัญญามิได้นำผู้เช่าห้องมาทำสัญญาวางเงินกับจำเลยที่ ๑ และไม่จัดการให้ผู้เช่าออกไป ถือได้ว่าโจทก์ผิดสัญญาจำเลยที่ ๑ เลิกสัญญาและริบมัดจำ โจทก์รับเงินมัดจำและค่าเสียหายไปจากจำเลยที่ ๒, ๓, ๔ แล้วโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ฯลฯ
จำเลยที่ ๒, ๓, ๔ ให้การว่า ไม่ได้ร่วมกับจำเลยที่ ๑ รับเหมาก่อสร้าง แต่จำเลยที่ ๒, ๓, ๔ เป็นตัวแทนชาวตลาด มีหน้าที่เจรจากับนายสง่า นางสังวาลย์และผู้รับเหมาก่อสร้าง จำเลยที่ ๒, ๓, ๔ให้ความยินยอมให้โจทก์เช่าตึกสร้างใหม่ได้ จำเลยที่ ๑ รับเงินกินเปล่าไปผู้เดียว ฯลฯ
ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยที่ ๑ ผู้เดียวรับเงินมัดจำ ๒๐,๑๐๐ บาทจากโจทก์ โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ คืนเงินมัดจำ ๒๐,๑๐๐ บาทแก่โจทก์ ฯลฯ
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบได้ความว่า จำเลยที่ ๑เป็นผู้รับเงินมัดจำ คงใช้ยันจำเลยที่ ๑ ได้ และเห็นได้ว่าโจทก์ได้ปฏิบัติตามสัญญาวางเงินมัดจำช่วยค่าก่อสร้าง ฯลฯ ลงวันที่๒๘ เมษายน ๒๕๐๑ ข้อ ๔ โดยได้มาวางมัดจำตามที่จำเลยที่ ๒, ๓ และ ๔สัญญาไว้ว่าจะนำผู้เช่าห้องแถวและผู้เช่าแผงลอยมาวางมัดจำต่อจำเลยที่ ๑ เป็นรายห้อง รายแผง ภายในกำหนด ๓๐ วันนั้นแล้ว ทั้งนี้แม้จะปรากฏว่าผู้เช่าห้องหรือแผงลอยบางรายมิได้วางเงินตามสัญญาข้อนี้ จะพลอยถือว่าโจทก์ตกเป็นผู้ผิดสัญญาด้วยหาได้ไม่เพราะต้องถือว่าชาวตลาดที่ลงชื่อในหนังสือแต่งตั้งจำเลยที่ ๒, ๓ และ ๔กับนายบักเว้งเป็นตัวแทน ไม่ได้เป็นตัวการร่วมกัน จำเลยที่ ๒, ๓และ ๔ กับนายบักเว้งมีอำนาจทำหน้าที่เป็นตัวแทนชาวตลาดแต่ละคนนั้นแยกเป็นราย ๆ กัน
ในข้อที่จำเลยที่ ๑ ต่อสู้ว่า โจทก์ไม่ปฏิบัติตามสัญญาวางเงินมัดจำช่วยค่าก่อสร้าง ฯลฯ ข้อ ๕ คือ ไม่ออกจากห้องเช่าเก่าภายใน ๖ เดือน เพื่อให้จำเลยที่ ๑ ทำการก่อสร้างนั้น โจทก์ได้นำสืบว่า ต่อจากที่โจทก์วางมัดจำแล้ว ๕-๖ เดือน จำเลยที่ ๑ก็เป็นความกับนายสง่า และนางสังวาลย์ซึ่งเป็นผู้เช่าที่ดินจากกรมการศาสนาและเป็นผู้จ้างเหมาจำเลยที่ ๑ ให้ปลูกสร้างตลาดใหม่โจทก์และชาวตลาดคนอื่นไปสอบถามจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ บอกว่ากำลังเป็นความอยู่ ยังปลูกสร้างไม่ได้ ต่อมาโจทก์ไปขอมัดจำคืนจำเลยที่ ๑ กลับว่าให้ไปฟ้องเอา ฝ่ายจำเลยก็รับว่าจำเลยที่ ๑เป็นความกับนายสง่าและนางสังวาลย์ ทำให้จำเลยที่ ๑ ลงมือก่อสร้างไม่ได้ เห็นได้ว่าจำเลยที่ ๑ เองไม่อยู่ในฐานะที่จะทำการชำระหนี้ฝ่ายตนตอบแทนโจทก์ได้ ฉะนั้น ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๒๑๑ จึงถือไม่ได้ว่า การที่โจทก์ยังไม่ออกไปจากห้องเช่าเดิมนั้นเป็นความผิดของโจทก์ จำเลยที่ ๑ ก็ไม่อาจอ้างเหตุตามเอกสารหมาย ล.๑ เพื่อริบมัดจำของโจทก์ได้ ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ในที่สุดจำเลยไม่สามารถก่อสร้างตลาดรายนี้ได้ เพราะกรมการศาสนาได้บอกเลิกสัญญาเช่าที่ดินปลูกตลาดกับนายสง่า และนางสังวาลย์ กรณีจึงเข้ามาตรา ๓๗๘(๓) ซึ่งบัญญัติให้ส่งคืนมัดจำ ถ้าฝ่ายที่รับมัดจำละเลยไม่ชำระหนี้ จำเลยที่ ๑ ต้องคืนเงินมัดจำนั้นให้โจทก์ นอกจากนี้โจทก์และพยานโจทก์ได้ปฏิเสธว่า ไม่เคยบอกให้จำเลยริบมัดจำ ตามคำให้การต่อสู้คดีของจำเลยที่ ๑ ก็ว่า จำเลยที่ ๒, ๓ และ ๔กับนายบักเว้งเป็นตัวแทนรับมอบอำนาจทั่วไป จำเลยที่ ๒, ๓ และ ๔กับนายบักเว้งจึงไม่มีอำนาจทำสัญญาประนีประนอมยอมความตามที่ปรากฏในหนังสือสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาวางเงินมัดจำช่วยค่าก่อสร้าง ฯลฯลงวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๐๒ ให้เป็นการผูกพันชาวตลาดไม่ให้เรียกคืนเงินมัดจำนั้นได้ เพราะไม่มีการมอบอำนาจโดยชัดแจ้งตามมาตรา ๘๐๑
พิพากษายืน

Share