คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1303/2551

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ผู้เสียหายยื่นฟ้องแล้วตายลง ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน สามีหรือภริยาจะดำเนินคดีต่างผู้ตายต่อไปได้ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.อ. มาตรา 29 ซึ่งบัญญัติเรื่องการเข้าดำเนินคดีต่างผู้ตายไว้โดยชัดแจ้งแล้ว จึงนำ ป.วิ.พ. มาตรา 42 และมาตรา 43 มาใช้บังคับโดยอนุโลมไม่ได้
จ. ยื่นคำร้องอ้างว่าเป็นสามีของโจทก์ร่วมขอเข้ารับมรดกความของโจทก์ร่วมซึ่งถึงแก่ความตาย เท่ากับ จ. ขอเข้าดำเนินคดีต่างโจทก์ร่วม เมื่อโจทก์ร่วมเข้ามาในคดีในฐานะผู้จัดการแทน ส. ผู้ตายตาม ป.วิ.อ. มาตรา 5 (2) จ. ซึ่งเป็นสามีของโจทก์ร่วมจึงไม่มีสิทธิเข้าดำเนินคดีต่างโจทก์ร่วมตาม มาตรา 29 เพราะโจทก์ร่วมเป็นเพียงผู้จัดการแทน ส. ไม่ใช่ผู้เสียหายในคดี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2540 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยขับรถยนต์บรรทุกสิบล้อหมายเลขทะเบียน 80-6980 สุราษฎร์ธานี ไปตามถนนสายเอเชีย จากอำเภอบ้านนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานี มุ่งหน้าไปอำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช ด้วยความเร็วสูงน่าหวาดเสียวอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน เมื่อถึงที่เกิดเหตุจำเลยขับรถยนต์บรรทุกสิบล้อไปทันรถยนต์กระบะคันที่แล่นอยู่ข้างหน้าแล้วจำเลยหักพวงมาลัยรถไปทางขวาเข้าไปในช่องเดินรถฝั่งตรงข้ามพร้อมกับเร่งความเร็วเพื่อแซงรถยนต์กระบะคันดังกล่าว โดยไม่ได้ใช้ความระมัดระวังดูว่ามีรถยนต์คันอื่นแล่นสวนทางมาในช่องเดินรถฝั่งตรงข้าม ขณะเดียวกันนายสราวุธขับรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน พ-9260 สุราษฎ์ธานี แล่นสวนทางมา เป็นเหตุให้รถยนต์บรรทุกสิบล้อที่จำเลยขับพุ่งชนรถยนต์กระบะที่นายสราวุธขับมาในช่องเดินรถของนายสราวุธอย่างแรง รถยนต์กระบะได้รับความเสียหายและนายสราวุธถึงแก่ความตายขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นางเหื้องมารดาของนายสราวุธผู้ตายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต (ที่ถูกอนุญาตให้เข้าร่วมเป็นโจทก์ได้เฉพาะข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291)
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
หลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วนายจรงค์สามีโจทก์ร่วมยื่นคำร้องว่า โจทก์ร่วมถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2545 ขอเข้าดำเนินคดีต่างโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
โจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายกอุทธรณ์ของนายจรงค์
โจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ร่วมว่า นายจรงค์มีสิทธิดำเนินคดีต่างนางเหื้องโจทก์ร่วมซึ่งถึงแก่ความตายหรือไม่ โดยโจทก์ร่วมฎีกาว่า กรณีที่นางเหื้องโจทก์ร่วมในฐานะผู้จัดการแทนนายสราวุธผู้ตายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5 (2) ถึงแก่ความตาย เมื่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามิได้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการรับมรดกความไว้ นายจรงค์สามีโจทก์ร่วมย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 42 และมาตรา 43 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 นั้น เห็นว่า กรณีที่ผู้เสียหายยื่นฟ้องแล้วตายลง ผู้บุพการรี ผู้สืบสันดาน สามีหรือภริยาจะดำเนินคดีต่างผู้ตายต่อไปต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 29 ซึ่งได้บัญญัติเรื่องการเข้าดำเนินคดีต่างผู้ตายไว้โดยชัดแจ้งแล้ว กรณีเช่นว่านี้จึงนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 42 และมาตรา 43 มาใช้บังคับโดยอนุโลมไม่ได้ นายจรงค์ยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 27 ธันวาคม 2545 อ้างว่าเป็นสามีของนางเหื้องโจทก์ร่วมขอเข้ารับมรดกความของนางเหื้องโจทก์ร่วมซึ่งถึงแก่ความตาย เท่ากับนายจรงค์ขอเข้าดำเนินคดีต่างนางเหื้องโจทก์ร่วม เมื่อนางเหื้องโจทก์ร่วมเข้ามาในคดีในฐานะผู้จัดการแทนนายสุราวุธผู้ตาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5 (2) นายจรงค์ซึ่งเป็นสามีของนางเหื้องโจทก์ร่วมหามีสิทธิเข้าดำเนินคดีต่างนางเหื้องโจทก์ร่วมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 29 เพราะนางเหื้องโจทก์ร่วมเป็นเพียงผู้จัดการแทนนายสราวุธผู้ตาย ไม่ใช่ผู้เสียหายในคดีนี้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 เพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้นายจรงค์เข้าร่วมเป็นโจทก์และดำเนินคดีต่างนางเหื้องโจทก์ร่วมกับยกอุทธรณ์ของนายจรงค์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน

Share