คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1298/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การสมรส เป็นพฤติการณ์ที่ชายและหญิงตกลงที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยา ความสมัครใจและความรักของทั้งสองฝ่ายที่จะอยู่ร่วมกันเป็นเหตุสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะมีวัฒนธรรมประเพณีเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แต่ข้อที่สำคัญ คือ กฎหมายไม่สามารถบังคับให้ชายหญิงอยู่ด้วยกันหรือบังคับให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปจดทะเบียนสมรสได้ กฎหมายลักษณะครอบครัวจึงถูกบัญญัติไว้เป็นพิเศษเพื่อใช้บังคับและแก้ปัญหาอันเกิดจากการใช้ชีวิตร่วมกันของชายหญิงที่จะอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยา ซึ่งมีลักษณะแตกต่างจากสัญญาโดยทั่วไป จะนำบทบัญญัติกฎหมายว่าด้วยสัญญาต่างตอบแทนมาใช้บังคับหาได้ไม่ มิฉะนั้นศาลต้องบังคับให้คู่สัญญาจดทะเบียนสมรสหรืออยู่กินฉันสามีภริยากับอีกฝ่ายหนึ่งตามวัตถุประสงค์แห่งหนี้อันเป็นมูลหนี้เดิมเสียก่อนและจะทำให้กฎหมายลักษณะครอบครัวไม่มีผลใช้บังคับด้วย
คดีนี้โจทก์ไม่ได้มอบของหมั้นแก่จำเลยที่ 1 แต่โจทก์ได้มอบทรัพย์สินให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นบิดามารดาของฝ่ายหญิงเพื่อตอบแทนการที่จำเลยที่ 1 ยอมสมรส คู่สัญญาของการหมั้นหมายถึงโจทก์และจำเลยที่ 1 รวมตลอดถึงบิดามารดาของโจทก์และจำเลยที่ 1 ด้วย เมื่อโจทก์ไม่ได้มอบของหมั้นแก่จำเลยที่ 1 สัญญาหมั้นจึงไม่อาจเกิดขึ้นได้ การที่โจทก์มอบทรัพย์สินแก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงไม่ถือเป็นการมอบสินสอดให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ตามกฎหมาย ไม่ตกอยู่ภายใต้บทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 1437 แต่ถือได้ว่าเป็นการให้ทรัพย์สินแก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 โดยเสน่หา ดังนั้น แม้ต่อมาจำเลยที่ 1 ไม่ยอมจดทะเบียนสมรสและไม่ยอมกลับมาอยู่กินฉันสามีภริยากับโจทก์อีก ก็หาจะบังคับให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 คืนทรัพย์สินแก่โจทก์ฐานจำเลยทั้งสามผิดสัญญาหมั้นได้ไม่
ปัญหาว่าจะใช้บทบัญญัติกฎหมายใดบังคับแก่คดี เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้ถูกต้องได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 226,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2554 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์ชำระเงิน 200,000 บาท แก่จำเลยที่ 1
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องและยกฟ้องแย้ง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ 126,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 26 ธันวาคม 2554) จนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 8,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่าเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ 1 เป็นบุตรของจำเลยที่ 2 และที่ 3 โจทก์และจำเลยที่ 1 ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ประมาณเดือนสิงหาคม 2544 บิดาโจทก์รู้จักครอบครัวจำเลยทั้งสามและบิดาโจทก์ต้องการสู่ขอจำเลยที่ 1 เป็นภริยาของโจทก์ โจทก์ไม่ขัดข้อง บิดาโจทก์จึงสู่ขอจำเลยที่ 1 ต่อจำเลยที่ 2 และที่ 3 จำเลยทั้งสามตกลงและจัดพิธีแต่งงานในวันที่ 10 ตุลาคม 2554 โดยฝ่ายโจทก์มอบทรัพย์สินเป็นเงิน 100,000 บาท และทองคำหนัก 1 บาท แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 หลังพิธีแต่งงานจำเลยที่ 1 ไปอยู่กินกับโจทก์ได้ประมาณ 20 วัน จำเลยที่ 1 หนีออกจากบ้านและไม่กลับไปอยู่กินฉันสามีภริยากับโจทก์อีกเลย สำหรับฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ที่ขอค่าเสียหายจากโจทก์นั้น ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง จำเลยที่ 1 ไม่อุทธรณ์และคดีตามฟ้องโจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1 โจทก์ไม่ฎีกา ดังนั้นคดีระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 จึงยุติแล้ว
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ต้องคืนทรัพย์สินแก่โจทก์หรือไม่ ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังว่า โจทก์มิได้มอบทรัพย์สินใด ๆ อันเป็นของหมั้นให้แก่จำเลยที่ 1 ดังนั้น การแต่งงานตามประเพณีระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 ถือได้ว่าไม่มีการหมั้น การที่จำเลยที่ 1 ไม่ยินยอมจดทะเบียนสมรสกับโจทก์ จึงไม่เป็นการผิดสัญญาหมั้น แต่การที่จำเลยทั้งสามรับสินสอดจากโจทก์และยอมเข้าพิธีแต่งงานกับโจทก์ เป็นสัญญาต่างตอบแทนอย่างหนึ่งซึ่งบังคับกันได้ พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 ไม่ยอมจดทะเบียนสมรสและกลับไปอยู่กินฉันสามีภริยากับโจทก์ ถือว่าจำเลยทั้งสามเป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยที่ 2 และที่ 3 ต้องคืนสินสอดแก่โจทก์ เห็นว่า การสมรส เป็นพฤติการณ์ที่ชายและหญิงตกลงที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยา ความสมัครใจและความรักของทั้งสองฝ่ายที่จะอยู่ร่วมกันจึงเป็นเหตุผลสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะมีวัฒนธรรมประเพณีเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แต่ข้อที่สำคัญ คือ กฎหมายไม่สามารถบังคับให้ชายหญิงอยู่ด้วยกันหรือบังคับให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปจดทะเบียนสมรสได้ กฎหมายลักษณะครอบครัวจึงถูกบัญญัติไว้เป็นพิเศษเพื่อใช้บังคับและแก้ปัญหาอันเกิดจากการใช้ชีวิตร่วมกันของชายหญิงที่จะอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยา ซึ่งมีลักษณะแตกต่างจากสัญญาโดยทั่วไป จะนำบทบัญญัติกฎหมายว่าด้วยสัญญาต่างตอบแทนมาใช้บังคับกับคดีนี้หาได้ไม่ มิฉะนั้น ศาลต้องบังคับให้คู่สัญญาจดทะเบียนสมรสหรืออยู่กินฉันสามีภริยากับอีกฝ่ายหนึ่งตามวัตถุประสงค์แห่งหนี้อันเป็นมูลหนี้เดิมเสียก่อนและจะทำให้กฎหมายลักษณะครอบครัวก็จะไม่มีผลใช้บังคับอีกด้วย สำหรับคดีนี้ เมื่อปรากฏว่าโจทก์ไม่ได้มอบของหมั้นแก่จำเลยที่ 1 แต่โจทก์ได้มอบทรัพย์สินให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นบิดามารดาของฝ่ายหญิงเพื่อตอบแทนการที่จำเลยที่ 1 ยอมสมรส การหมั้นเป็นประเพณีที่มีมาแต่โบราณ โดยผู้ใหญ่ของฝ่ายชายจะไปทำการหมั้นหมายกับผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงโดยฝ่ายชายอาจจะมอบของหมั้นและสินสอดแก่ฝ่ายหญิง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์รับเอาประเพณีมาโดยไม่เปลี่ยนแปลงรูปแบบแต่อย่างใด ดังนั้น คู่สัญญาของการหมั้นจึงหมายถึงโจทก์และจำเลยที่ 1 รวมตลอดถึงบิดามารดาของโจทก์และจำเลยที่ 1 ด้วย ดังนั้น เมื่อโจทก์ไม่ได้มอบของหมั้นแก่จำเลยที่ 1 สัญญาหมั้นจึงไม่อาจเกิดขึ้นได้ การที่โจทก์มอบทรัพย์สินแก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงไม่ถือเป็นการมอบสินสอดให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ตามกฎหมาย ไม่ตกอยู่ภายใต้บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1437 แต่ถือได้ว่าเป็นการให้ทรัพย์สินแก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 โดยเสน่หา ดังนั้น แม้จะปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ไม่ยอมจดทะเบียนสมรสและไม่ยอมกลับมาอยู่กันฉันสามีภริยากับโจทก์อีก ก็หาจะบังคับให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 คืนทรัพย์สินแก่โจทก์ฐานจำเลยทั้งสามผิดสัญญาหมั้นได้ไม่ ปัญหาว่าจะใช้บทบัญญัติกฎหมายใดบังคับแก่คดี เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้ถูกต้องได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามานั้น ศาลฎีกายังไม่เห็นพ้องด้วย เมื่อวินิจฉัยเช่นนี้แล้ว ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ที่ว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้ผิดสัญญาต่างตอบแทนดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share