คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1295/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยออกเช็คลงวันที่ล่วงหน้าไปแล้ว ต่อมาไปตกลงกับธนาคารว่า เช็คของจำเลยต้องประทับตราด้วย.จึงจะจ่ายเงินได้ เมื่อเช็คถึงกำหนดโจทก์นำไปขึ้นเงิน ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โดยให้ประทับตราผู้สั่งจ่าย ทั้งจำเลยก็สั่งห้ามธนาคารจ่ายเงินตามเช็ค ประกอบกับจำเลยมีหนี้ตามเช็คเป็นยอดเงินอีกจำนวนมาก ซึ่งธนาคารไม่ยอมผ่านเช็คให้ พฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาทุจริต ข้อที่โจทก์มิได้ให้จำเลยประทับตราก่อนจึงไม่เป็นข้ออ้างตามกฎหมายที่จะให้จำเลยพ้นผิด
จำเลยออกเช็คสองฉบับชำระหนี้ เมื่อเช็คถึงกำหนดธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินทั้งสองฉบับ เป็นความผิดสองกระทง
ศาลล่างทั้งสองปรับบทลงโทษรวมกันมาเป็นการไม่ชอบด้วย ป.อ. มาตรา 91 ศาลฎีกาเรียงกระทงลงโทษ แต่กำหนดโทษให้เป็นไปตามเดิมได้ แม้โจทก์จะมิได้ฎีกา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 14 ธันวาคม 2518 ถึงวันที่ 1 มีนาคม 2519 เวลากลางวัน จำเลยบังอาจออกเช็คธนาคารกรุงเทพจำกัด สาขา คลองสาน รวม 2 ฉบับ คือเช็คเลขที่ 66-3859 สั่งจ่ายเงิน56,000 บาท ลงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2519 กับเช็คเลขที่ 663860 สั่งจ่ายเงิน 65,000 บาท ลงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2519 ชำระหนี้แก่ผู้มีชื่อต่อมาผู้มีชื่อทั้งสองฉบับมาแลกเงินสดจากโจทก์ โจทก์จึงเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายเช็คถึงกำหนดวันสั่งจ่าย โจทก์นำเช็คทั้งสองฉบับเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงิน ธนาคารเจ้าของเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน ทั้งนี้โดยจำเลยออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค ระงับการจ่ายเงินตามเช็ค ระงับการจ่ายเงินตามเช็คโดยเจตนาทุจริต เหตุเกิดที่แขวงบุคคลโล เขตคลองสาน และที่แขวงกล้วยน้ำไท เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร เกี่ยวพันกัน ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งประทับฟ้อง

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 จำคุกจำเลย 1 ปี

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาข้อกฎหมายเฉพาะข้อ 3, 4 และ 5 นอกนั้นเป็นฎีกาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ไม่รับฎีกาจำเลยอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับฎีกา ศาลฎีกามีคำสั่งยืนตามคำสั่งศาลชั้นต้น

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วข้อเท็จจริงที่คู่ความนำสืบและที่ศาลล่างฟังมาเป็นที่ยุติว่า โจทก์กับจำเลยไม่รู้จักกัน จำเลยออกเช็คพิพาททั้งสองฉบับชำระหนี้ให้แก่นายฮ้งฮั้วเมื่อปลายเดือนธันวาคม 2518 โดยลงวันที่ล่วงหน้าในเช็คประมาณ 1 เดือน ต่อมาเมื่อปลายเดือนมกราคม 2519 นายฮ้งฮั้วนำเช็คทั้งสองฉบับไปแลกเงินสดจากโจทก์ โดยรับเงินน้อยกว่าจำนวนที่ระบุในเช็คส่วนจำเลยเปิดบัญชีไว้ต่อธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาคลองสาน และทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไว้กับธนาคารภายในวงเงินไม่เกิน 200,000 บาท วันที่ 20 มกราคม 2519 จำเลยไปตกลงกับธนาคารขอเพิ่มตราขึ้นมาเวลาจำเลยลงลายมือชื่อในเช็ค ซึ่งเป็นการขอเพิ่มภายหลังที่ออกเช็คพิพาททั้งสองฉบับไปแล้วกับจำเลยได้สั่งธนาคารห้ามจ่ายเงินตามเช็คทั้งสองฉบับนี้ด้วย ก่อนเช็คพิพาททั้งสองฉบับถึงกำหนดนายฮ้งฮั้วโทรศัพท์บอกโจทก์ว่าให้นำเช็คไปขึ้นเงินช้ากว่ากำหนดประมาณ 1 สัปดาห์ครบกำหนด 1 สัปดาห์แล้วโจทก์นำเช็คสองฉบับไปเข้าบัญชีต่อธนาคาร ธนาคารปฏิเสธไม่จ่ายเงินตามเช็คทั้งสองฉบับ โดยให้เหตุผลในใบคืนเช็คว่า “โปรดประทับตราผู้สั่งจ่าย” โจทก์มิได้นำเช็คไปให้จำเลยประทับตราเพราะไม่รู้จักจำเลยเพียงแต่บอกให้นายฮ้งฮั้วทราบ นายฮ้งฮั้วถามจำเลย จำเลยไม่ยอมชำระเงินให้ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2519 จำเลยเป็นลูกหนี้ธนาคาร 222,238 บาท 30 สตางค์ แม้เช็คทั้งสองฉบับจะประทับตราของผู้สั่งจ่าย ธนาคารก็ไม่จ่ายเงินให้ จำเลยถูกฟ้องคดีอาญาฐานความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ครวม 4 – 5 รายเป็นเงินประมาณ 400,000 บาท มีเช็คที่จำเลยออกไปแล้วและไม่ผ่านธนาคารประมาณหนึ่งล้านกว่าบาท มีเจ้าหนี้ประมาณสิบกว่าราย

จำเลยฎีกาประการแรกว่า นายฮ้งฮั้วได้รับเงินจากโจทก์น้อยกว่าจำนวนเงินในเช็ค คือคิดหักเป็นอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 24 ต่อปี อันเป็นการคิดดอกเบี้ยผิดกฎหมายเช็คสองฉบับดังกล่าวถือว่าไม่สมบูรณ์ตกเป็นโมฆะ จำเลยจึงไม่มีความผิด ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์จะรับซื้อเช็คจากนายฮ้งฮั้วในราคาเท่าใด ย่อมเป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับนายฮ้งฮั้วไม่เกี่ยวกับจำเลยอันจะเป็นผลให้กลายเป็นเช็คที่ไม่สมบูรณ์หรือเป็นโมฆะดังจำเลยฎีกา

จำเลยฎีกาประการที่สองว่า เมื่อโจทก์ไม่จัดให้จำเลยประทับตราในเช็คจำเลยก็ไม่มีความผิด ศาลฎีกาเห็นว่าข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ว่าโจทก์กับจำเลยไม่รู้จักกันไม่อยู่ในวิสัยที่จะนำเช็คไปให้จำเลยประทับตราได้ การประทับตรานั้นจำเลยไปติดต่อไว้กับธนาคารภายหลังที่ได้ออกเช็คพิพาททั้งสองฉบับให้นายฮ้งฮั้ว นายฮ้งฮั้วได้โอนเช็คให้โจทก์ไปแล้ว ทั้งจำเลยได้สั่งธนาคารห้ามจ่ายเงินตามเช็คพิพาททั้งสองฉบับนี้ด้วย ประกอบกับจำเลยมีหนี้ตามเช็คจำนวนมาก ซึ่งธนาคารไม่ยอมผ่านเช็คให้จำเลย ดังนี้ แม้โจทก์จะนำเช็คไปให้จำเลยประทับตรา ธนาคารก็ต้องปฏิเสธไม่จ่ายเงินตามเช็คอยู่ดี พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาทุจริต ฉะนั้น ข้อกฎหมายของจำเลยที่ว่าโจทก์ไม่จัดให้จำเลยประทับตราในเช็คจึงมิใช่ข้ออ้างตามกฎหมาย ที่จะให้จำเลยพ้นจากความรับผิด

จำเลยฎีกาประการสุดท้ายว่า เมื่อเช็คยังไม่มีการประทับตราโจทก์ก็ยังไม่สิทธินำคดีมาฟ้อง ศาลฎีกาเห็นว่าเรื่องอำนาจฟ้องนี้ เมื่อธนาคารปฏิเสธไม่จ่ายเงินตามเช็ค ไม่ว่าจะสลักใบคืนเช็คในข้อใดหรือเหตุผลใด โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบย่อมมีสิทธิฟ้องจำเลยซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายได้

ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้องชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น แต่การกระทำของจำเลยเป็นความผิดสองกระทงศาลล่างทั้งสองปรับบทลงโทษรวมกันมา ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 แม้โจทก์จะมิได้ฎีกาศาลฎีกาเห็นสมควร แก้ไขเสียให้ถูกต้อง

พิพากษาแก้เป็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ส่วนกำหนดโทษให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share