คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1243/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1658(2) มิได้บัญญัติว่ากรมการอำเภอต้องจดข้อความในพินัยกรรมด้วยตนเอง ปลัดอำเภอผู้ทำหน้าที่กรมการอำเภอตามมาตรานี้ย่อมใช้ให้คนอื่นจดแทนได้ ส่วนอนุมาตรา 4 ของมาตรานี้ที่ว่าให้กรมการอำเภอจดลงไว้ด้วยตนเองเป็นสำคัญว่าพินัยกรรมนั้นได้ทำขึ้นถูกต้องตามบทบัญญัติอนุมาตรา 1 ถึง 3 นั้นเมื่อพินัยกรรมมีข้อความดังกล่าวเป็นตัวอักษรแบบพิมพ์ และปลัดอำเภอก็ได้ลงลายมือชื่อและประทับตราตำแหน่งไว้เป็นสำคัญท้ายข้อความนี้ย่อมถือได้ว่าเป็นข้อความที่ปลัดอำเภอจดลงไว้ด้วยตนเอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นางประกอบ หนูนิมิตร ป้าของโจทก์ได้แต่งงานอยู่กินกับจำเลยเมื่อประมาณ 30 ปีเศษมานี้ ไม่มีบุตรด้วยกันนางประกอบมีสินเดิมฝ่ายเดียว ระหว่างอยู่กินด้วยกันนางประกอบซื้อที่ดินโฉนดที่ 2372เนื้อที่ 2 ไร่ 3 งาน 68 ตารางวา ลงชื่อนางประกอบและจำเลยเป็นเจ้าของ และได้จำนองไว้กับผู้อื่น นางประกอบตายแล้ว ก่อนตายได้ทำพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองยกที่ดินโฉนดที่ 2372 ให้โจทก์ พินัยกรรมนี้จึงสมบูรณ์เฉพาะส่วนที่เป็นที่ดินของนางประกอบ ขอให้พิพากษาว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดที่ 2372 ครึ่งหนึ่งให้จำเลยแบ่งให้ ถ้าไม่ตกลงกันในการกำหนดเขตก็ให้นำออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้จำนองก่อน เหลือเท่าใดให้แบ่งกัน

จำเลยให้การว่า จำเลยกับนางประกอบแต่งงานกันเมื่อประมาณ 37 ปีมาแล้ว นางประกอบไม่มีสินเดิม จำเลยมีสินเดิมคือเรือน 1 หลังราคา 200 บาท ที่ดินโฉนดที่ 2372 นั้นจำเลยกับนางแปลงได้รับมรดกจากนางปริก ต่อมานางแปลงยกส่วนของนางแปลงให้จำเลย จำเลยจึงลงชื่อนางประกอบเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลย พินัยกรรมที่นางประกอบทำไว้ไม่สมบูรณ์และเป็นโมฆะ และนางประกอบไม่มีอำนาจทำพินัยกรรมยกที่ดินเกินกว่าส่วนที่นางประกอบมีอยู่เพียง 1 ใน 3

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ตามพินัยกรรมในที่ดินพิพาท 1 ใน 3 ส่วนให้จำเลยแบ่งให้โจทก์ ถ้าแบ่งกันเองไม่ได้ให้ประมูลระหว่างกันเอง ถ้ายังไม่ตกลงกันอีกก็ให้ขายทอดตลาดแบ่งกัน

โจทก์จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ที่จำเลยฎีกาว่านางประกอบไม่มีอำนาจทำพินัยกรรมยกที่ดินทั้งแปลงอันมิใช่เป็นของนางประกอบแต่ผู้เดียวให้แก่โจทก์นั้น เมื่อนางประกอบเป็นเจ้าของอยู่บางส่วนพินัยกรรมของนางประกอบจึงสมบูรณ์เฉพาะส่วนในที่ดินอันเป็นของนางประกอบ

ที่จำเลยฎีกาว่า พินัยกรรมทำเป็นเอกสารฝ่ายเมือง นายโสภณปลัดอำเภอผู้ทำพินัยกรรมมิได้เป็นผู้เขียนเอง ข้อความรับรองว่าพินัยกรรมทำขึ้นถูกต้องตามอนุมาตรา 1 ถึง 3 ของมาตรา 1658 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ นายโสภณก็มิได้เป็นผู้เขียนเองนั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1658 อนุมาตรา 2 มิได้บัญญัติว่ากรมการอำเภอต้องจดข้อความในพินัยกรรมด้วยตนเอง ฉะนั้น นายโสภณย่อมใช้ให้คนอื่นจดแทนได้ ส่วนมาตรา 1658 อนุมาตรา 4 ที่บัญญัติไว้ให้กรมการอำเภอจดลงไว้ด้วยตนเองเป็นสำคัญว่าพินัยกรรมนั้นได้ทำขึ้นถูกต้องตามบทบัญญัติอนุมาตรา 1 ถึง 3 นั้น เห็นว่าเมื่อมีข้อความดังกล่าวเป็นตัวอักษรแบบพิมพ์และนายโสภณก็ได้ลงลายมือชื่อประทับตราตำแหน่งไว้เป็นสำคัญท้ายข้อความนี้ จึงถือได้ว่าเป็นข้อความที่นายโสภณจดไว้ด้วยตนเองพินัยกรรมนี้จึงสมบูรณ์ตามกฎหมาย

ปัญหาต่อไปมีว่า นางประกอบมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทถึงครึ่งหนึ่งหรือไม่ ศาลฎีกาฟังว่านางประกอบและจำเลยต่างมีสินเดิมและอยู่กินเป็นสามีภริยากันมาก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 การคิดส่วนแบ่งอันเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับนางประกอบจึงต้องเป็นไปตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย กล่าวคือจำเลยได้ 2 ส่วน นางประกอบได้ 1 ส่วน ส่วนของนางประกอบตกได้แก่โจทก์ตามพินัยกรรม

พิพากษายืน

Share