แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องแย้งของจำเลยขอห้ามมิให้โจทก์กระทำการใด ๆ อันเป็นการรบกวนการถือครองที่ดินของจำเลย และให้โจทก์ใช้ค่าเสียหาย 300,000 บาท แก่จำเลย ซึ่งหากศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย ย่อมมีผลทำให้สิทธิเรียกร้องตามคำฟ้องของโจทก์ไม่ได้รับการบังคับตามกฎหมาย คำฟ้องแย้งของจำเลยจึงมีสภาพเป็นเพียงคำให้การ ส่วนเรื่องค่าเสียหาย จำเลยอ้างเหตุมูลละเมิดเนื่องจากถูกโจทก์ฟ้อง เป็นคนละเรื่องกับคดีนี้ที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท ฟ้องแย้งในส่วนนี้เป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน คู่ความย่อมมีสิทธิที่จะยกปัญหาดังกล่าวขึ้นอ้างได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคสอง (เดิม) ซึ่งใช้บังคับขณะยื่นฟ้อง
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท จำเลยให้การว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย จึงเป็นคดีเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท เป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามราคาที่ดินพิพาท เมื่อที่ดินพิพาทมีราคาประเมินตารางวาละ 300 บาท คิดเป็นทุนทรัพย์พิพาท 21,000 บาท ทุนทรัพย์พิพาทในชั้นอุทธรณ์จึงไม่เกิน 50,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคหนึ่ง จำเลยอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้นว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามบทกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์ของจำเลยและศาลอุทธรณ์ภาค 4 รับวินิจฉัยให้จึงไม่ชอบ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาทของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทอีก กับให้จำเลยชำระค่าเสียหาย 24,000 บาท และค่าเสียหายในอัตราเดือนละ 1,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดินพิพาท
จำเลยให้การ แก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง ฟ้องแย้งและแก้ไขฟ้องแย้งห้ามมิให้โจทก์กระทำการใด ๆ อันเป็นการรบกวนการถือครองที่ดินของจำเลย และให้โจทก์ชำระค่าเสียหาย 300,000 บาท แก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยพร้อมบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินโจทก์อีก คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก กับให้ยกฟ้องแย้งจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมตามฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งจำเลยให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษากลับ ห้ามโจทก์กระทำการใดอันเป็นการรบกวนการถือครองที่ดินพิพาทของจำเลย ยกฟ้องของโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมสำหรับฟ้องของโจทก์และฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นคำฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยจะฟ้องแย้งมาในคำให้การได้ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม บัญญัติบังคับไว้ว่า ฟ้องแย้งนั้นจะต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม แต่ตามฟ้องแย้งของจำเลยขอห้ามมิให้โจทก์กระทำการใดๆ อันเป็นการรบกวนการถือครองที่ดินของจำเลย และให้โจทก์ใช้ค่าเสียหาย 300,000 บาท แก่จำเลย โดยจำเลยอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย การที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยทำให้เสียหายต่อชื่อเสียงและทรัพย์สินได้นั้น เห็นว่า จำเลยอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยหากศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย ย่อมมีผลทำให้สิทธิเรียกร้องตามคำฟ้องของโจทก์ไม่ได้รับการบังคับให้ตามกฎหมาย ซึ่งก็คือจำเลยยังมีสิทธิอยู่ในที่ดินพิพาท ไม่ต้องบังคับอะไรแก่โจทก์ และแม้จำเลยจะไม่ได้ฟ้องแย้งในส่วนนี้ก็มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยอยู่แล้วว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินในเขตโฉนดของโจทก์หรือจำเลย คำฟ้องแย้งของจำเลยในส่วนนี้จึงมีสภาพเป็นเพียงคำให้การหาใช่ฟ้องแย้งไม่ ส่วนประเด็นเรื่องค่าเสียหาย จำเลยอ้างเหตุมูลละเมิดเนื่องจากถูกโจทก์ฟ้อง เป็นคนละเรื่องกับคดีนี้ที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท ฟ้องแย้งเช่นนี้เป็นเรื่องอื่นซึ่งไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม จะรับไว้พิจารณารวมกับคำฟ้องเดิมไม่ได้ ดังนั้นฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ประเด็นว่าฟ้องแย้งของจำเลยเป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน คู่ความย่อมมีสิทธิที่จะยกปัญหาดังกล่าวขึ้นอ้างได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง (เดิม) ซึ่งใช้บังคับขณะยื่นฟ้อง ดังที่โจทก์ฎีกาเป็นประเด็นขึ้นมา ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ยกฟ้องแย้งของจำเลยแต่เฉพาะในส่วนค่าเสียหายมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ต่อไปว่า คดีตามคำฟ้องของโจทก์ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท เนื้อที่ 70 ตารางวา จำเลยให้การว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท เป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามราคาที่ดินพิพาท เมื่อที่ดินพิพาทมีราคาประเมินตารางวาละ 300 บาท คิดเป็นทุนทรัพย์พิพาท 21,000 บาท ดังนี้ทุนทรัพย์พิพาทในชั้นอุทธรณ์จึงไม่เกิน 50,000 บาท คู่ความจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้นว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามบทกฎหมายดังกล่าว การที่ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์ของจำเลยและศาลอุทธรณ์ภาค 4 รับวินิจฉัยให้จึงเป็นการไม่ชอบ เมื่อคดีฟังได้ว่าคดีตามคำฟ้องของโจทก์ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ข้อเท็จจริงจึงรับฟังเป็นที่ยุติตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ คดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ในประเด็นข้ออื่นเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนคำฟ้องของโจทก์และฟ้องแย้งของจำเลยในชั้นอุทธรณ์และฎีกาให้เป็นพับ