แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ฎีกาของจำเลยทั้งสองที่ว่า เช็คที่โจทก์ฟ้องเป็นเช็คค้ำประกันเงินกู้ จำเลยทั้งสองขาดเจตนาที่จะสั่งจ่ายเช็คโดยไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค และธนาคารมิได้ปฏิเสธการจ่ายเงินเพราะว่าเงินในบัญชีไม่พอจ่าย ล้วนเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการที่ศาลรับฟังพยานหลักฐาน เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และคดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษปรับจำเลยที่ 1จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ.มาตรา 218 วรรคแรก.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 ให้ปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 10,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปีจำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าปรับให้ยึดทรัพย์สินชำระแทนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ฎีกาของจำเลยทั้งสองที่ว่าเช็คที่โจทก์ฟ้องเป็นเช็คค้ำประกันเงินกู้ จำเลยทั้งสองขาดเจตนาที่จะสั่งจ่ายเช็คโดยไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค และธนาคารมิได้ปฏิเสธการจ่ายเงินเพราะว่าเงินในบัญชีไม่พอจ่าย ล้วนเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการที่ศาลรับฟังพยานหลักฐาน เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษปรับจำเลยที่ 1เป็นเงิน 10,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาจำเลยทั้งสอง.