คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12114/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยนำรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุไปซ่อมรอยรั่วซึมของถังน้ำมัน โดยจำเลยไม่ได้แจ้งให้นายจ้างทราบก่อน กลับแจ้งผู้ตายโดยตรงให้ซ่อมถังน้ำมันของรถยนต์บรรทุกน้ำมัน อันเป็นการไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดในการทำงานที่มีขึ้นเพื่อความปลอดภัย และจำเลยไม่ได้บอกผู้ตายว่ารถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุบรรทุกน้ำมันเบนซินมาด้วย ทำให้ผู้ตายไม่ทราบข้อเท็จจริงจึงไม่ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนในการทำงาน เป็นเหตุให้รถยนต์บรรทุกน้ำมันเกิดระเบิดขึ้นและผู้ตายถึงแก่ความตาย นับเป็นผลโดยตรงจากความประมาทของจำเลยฝ่ายเดียวที่งดเว้นการที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้น หาได้เกิดจากความประมาทของผู้ตายด้วยไม่ จำเลยจึงมีความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นางซ่อนกลิ่นหรือจันทนา ภริยาของนายเก่ง ผู้ตาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 จำคุก 3 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า จำเลยและนายเก่ง ผู้ตายเป็นลูกจ้างของห้างหุ้นส่วนจำกัดเชี่ยวชาญบริการ โดยจำเลยมีหน้าที่ขับรถยนต์บรรทุกน้ำมันขนส่งน้ำมันไปส่งให้ลูกค้าของห้างหุ้นส่วนจำกัดดังกล่าว ส่วนผู้ตายเป็นช่างเชื่อมหรือช่างสี ก่อนเกิดเหตุจำเลยขับรถยนต์บรรทุกน้ำมันคันเกิดเหตุไปรับน้ำมันดีเซล 24,000 ลิตร และน้ำมันเบนซิน 8,000 ลิตร จากคลังน้ำมันในจังหวัดระยองไปส่งที่จังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างทางจำเลยพบรอยรั่วซึมบริเวณถังน้ำมัน ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง เมื่อจำเลยขับรถยนต์บรรทุกดังกล่าวซึ่งส่งน้ำมันหมดแล้วกลับไปถึงสถานีบริการน้ำมันที่เกิดเหตุของห้างหุ้นส่วนจำกัดเชี่ยวชาญบริการ จำเลยแจ้งเรื่องที่มีรอยรั่วซึมบริเวณถังน้ำมันให้ผู้ตายทราบ ผู้ตายดำเนินการซ่อมรอยรั่วซึมของถังน้ำมัน โดยใช้เครื่องเชื่อมไฟฟ้าและลวดไฟฟ้าเชื่อมจุดรั่วบริเวณถังน้ำมัน ทำให้เกิดประกายไฟและความร้อนไปสัมผัสกับไอระเหยของน้ำมันภายในถังน้ำมัน เกิดปฏิกิริยาลุกไหม้ภายในถังน้ำมันจนเกิดระเบิดขึ้น ตามรายงานการตรวจสถานที่เกิดเหตุคดีระเบิด และแรงระเบิดเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายตามรายงานการชันสูตรพลิกศพ
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ร่วมว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า นายนพดลพยานโจทก์และโจทก์ร่วมเบิกความยืนยันว่า ในการนำรถยนต์บรรทุกน้ำมันเข้าซ่อม ผู้ที่ครอบครองรถจะต้องแจ้งให้พยานทราบล่วงหน้าทุกครั้ง อันเป็นการเจือสมกับที่จำเลยเบิกความยอมรับว่า กรณีรถยนต์บรรทุกน้ำมันคันเกิดเหตุชำรุดบกพร่องต้องแจ้งนายจ้างก่อน ไม่สามารถแจ้งซ่อมกับช่างโดยตรง แต่ได้ความจากนายนพดลว่า จำเลยซึ่งเป็นผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกน้ำมันคันเกิดเหตุไม่ได้แจ้งให้พยานทราบว่าจะนำรถยนต์บรรทุกน้ำมันไปจอดเพื่อรอซ่อมที่บริเวณสถานีบริการน้ำมันที่เกิดเหตุ โดยจำเลยบอกพยานเพียงว่าจำเลยติดต่อให้พยานซื้อไส้กรองน้ำมันเครื่องเพื่อเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องเท่านั้น สอดคล้องกับที่นางสมพรพยานโจทก์และโจทก์ร่วมเบิกความว่า ระหว่างทางที่ขนส่งน้ำมันไปยังจังหวัดเชียงใหม่ จำเลยตรวจพบรอยรั่วซึมที่บริเวณด้านหน้าของถังน้ำมันแล้ว แต่ไม่ได้แจ้งให้ผู้ใดทราบ ส่วนนายอเนกพยานโจทก์และโจทก์ร่วมอีกปากหนึ่งก็ยืนยันว่า ก่อนเกิดเหตุ จำเลยชี้รอยแตกที่รถยนต์บรรทุกน้ำมันบริเวณด้านหน้าของถังน้ำมันและบอกให้ผู้ตายเชื่อม พยานโจทก์และโจทก์ร่วมดังกล่าวไม่มีสาเหตุโกรธเคือง โดยเฉพาะนางสมพรเป็นภริยาของจำเลยด้วย จึงไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าจะกลั่นแกล้งปรักปรำจำเลย ในชั้นสอบสวนซึ่งจำเลยให้การไว้ในฐานะพยานตามบันทึกคำให้การของพยานว่า จำเลยบอกให้ผู้ตายไปดูบันไดข้างรถด้านขวาซึ่งแยกออกจากกันและสั่นเสียงดัง กับฝาน้ำมันด้านหน้าของถังน้ำมันที่มีรอยซึม โดยจำเลยให้ผู้ตายเชื่อมบันได ส่วนถังน้ำมันหากเชื่อมไม่ได้ให้ใช้ซีเมนต์อุด จากนั้นจำเลยใช้โทรศัพท์ติดต่อนายนพดลโดยบอกว่าจะถ่ายน้ำมันเครื่องให้นำไส้กรองน้ำมันเครื่องมาเปลี่ยนด้วย โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยแจ้งเรื่องที่ถังน้ำมันของรถยนต์บรรทุกน้ำมันรั่วซึมให้นายนพดลทราบแต่อย่างใด แม้บันทึกคำให้การดังกล่าวเป็นพยานบอกเล่า แต่จำเลยให้การไว้หลังเกิดเหตุไม่นานนัก ขณะนั้นคงยังไม่ทันคิดบิดเบือนข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นเพื่อหวังผลในเรื่องรูปคดี เมื่อพิจารณาจากสภาพ ลักษณะ แหล่งที่มา และข้อเท็จจริงแวดล้อมของพยานบอกเล่านั้น น่าเชื่อว่าจะพิสูจน์ความจริงได้ จึงรับฟังบันทึกคำให้การดังกล่าวประกอบกับพยานหลักฐานอื่นของโจทก์และโจทก์ร่วมได้ การที่จำเลยซึ่งเป็นผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกน้ำมันเชื้อเพลิงอันเป็นทรัพย์ซึ่งเป็นอันตรายโดยสภาพ พบรอยรั่วซึมที่บริเวณถังน้ำมันของรถยนต์บรรทุกน้ำมันคันเกิดเหตุ แต่จำเลยไม่แจ้งให้นายนพดลซึ่งเป็นนายจ้างทราบก่อนจะนำรถยนต์บรรทุกน้ำมันไปซ่อม กลับแจ้งผู้ตายโดยตรงให้ซ่อมถังน้ำมันของรถยนต์บรรทุกน้ำมัน อันเป็นการไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดในการทำงานซึ่งเชื่อว่ามีขึ้นเพื่อความปลอดภัย เพราะหากจำเลยแจ้งให้นายนพดลทราบก่อน นายนพดลอาจกำชับให้จำเลยแจ้งแก่ผู้ตายว่ารถยนต์บรรทุกน้ำมันดังกล่าวบรรทุกน้ำมันประเภทใดมา เพื่อผู้ตายจะได้ใช้วิธีการซ่อมแซมที่เหมาะสมและปลอดภัย ซึ่งได้ความจากคำให้การในชั้นสอบสวนของนายประทีปตามบันทึกคำให้การของพยานว่า ผู้ตายเคยทำงานเป็นลูกจ้างของพยานที่ประกอบอาชีพซ่อมแซมถังน้ำมันของรถยนต์บรรทุกน้ำมัน จนผู้ตายมีความเชี่ยวชาญในการทำงานแล้วก็แยกตัวออกไป และผู้ตายมีประสบการณ์ในการเชื่อมถังน้ำมันของรถยนต์บรรทุกน้ำมันบ่อยครั้ง แม้บันทึกคำให้การดังกล่าวเป็นพยานบอกเล่า แต่จำเลยยอมรับว่านายประทีปให้การต่อพนักงานสอบสวนไว้จริง และนายประทีปก็ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ไม่มีข้อระแวงสงสัยว่าจะกลั่นแกล้งกล่าวหาจำเลย ทั้งไม่ปรากฏว่านายประทีปให้การไว้โดยมีมูลเหตุจูงใจหรือถูกบังคับขู่เข็ญแต่ประการใด เมื่อพิจารณาจากสภาพ ลักษณะ แหล่งที่มา และข้อเท็จจริงแวดล้อมของพยานบอกเล่านั้น น่าเชื่อว่าจะพิสูจน์ความจริงได้ จึงรับฟังคำให้การในชั้นสอบสวนของนายประทีปดังกล่าวประกอบกับพยานหลักฐานอื่นของโจทก์และโจทก์ร่วมได้เช่นกัน ซึ่งหากจำเลยบอกผู้ตายว่ารถยนต์บรรทุกน้ำมันคันเกิดเหตุบรรทุกน้ำมันเบนซินมาด้วย ผู้ตายก็น่าจะต้องกระทำตามขั้นตอนในการทำงานซึ่งเป็นข้อปฏิบัติที่ผู้ตายทราบดีอยู่แล้วโดยใช้น้ำและผงซักฟอกล้างถังน้ำมันพร้อมใช้ลมเป่าให้แห้งจนหมดกลิ่นจึงจะทำการเชื่อมได้ ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยต่อชีวิตของผู้ตายเองตลอดจนชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่น แต่ก็ไม่ปรากฏว่าผู้ตายได้กระทำเช่นนั้น ทั้ง ๆ ที่ผู้ตายมีความชำนาญและทราบขั้นตอนในการซ่อมแซมถังน้ำมันเป็นอย่างดี พฤติการณ์แห่งคดีมีเหตุผลน่าเชื่อว่าจำเลยไม่ได้บอกผู้ตายว่ารถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุบรรทุกน้ำมันเบนซินมาด้วย การที่จำเลยไม่แจ้งให้นายจ้างทราบก่อนจะนำรถยนต์บรรทุกน้ำมันไปซ่อม กลับแจ้งผู้ตายโดยตรงให้ซ่อมถังน้ำมันของรถยนต์บรรทุกน้ำมัน อันเป็นการไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดในการทำงานที่มีขึ้นเพื่อความปลอดภัย และจำเลยไม่ได้บอกผู้ตายว่ารถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุบรรทุกน้ำมันเบนซินมาด้วยดังกล่าว ทำให้ผู้ตายไม่ทราบข้อเท็จจริงจึงไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนในการทำงาน เป็นเหตุให้รถยนต์บรรทุกน้ำมันเกิดระเบิดขึ้น ทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย นับเป็นผลโดยตรงจากความประมาทของจำเลยฝ่ายเดียวที่งดเว้นการที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้น หาได้เกิดจากความประมาทของผู้ตายด้วยไม่ จำเลยจึงมีความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ร่วมฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share