คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1203/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยแพ้คดีในศาลชั้นต้น โจทก์ขอหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานยึดทรัพย์ของจำเลย ในชั้นอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยชนะ จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้ถอนการยึดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 251 ศาลสั่งอนุญาตและให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมยึดแล้วไม่มีการขาย และค่าธรรมเนียมในการบังคับคดี นั้นเป็นการที่ชอบ เพราะโจทก์เป็นผู้แพ้คดี โจทก์ต้องรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมไปจนกว่าศาลฎีกาจะได้มีคำพิพากษาเป็นอย่างอื่น และเรื่องความรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมนั้นเป็นอำนาจของศาลที่จะใช้ดุลพินิจสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยใช้ต้นเงินและดอกเบี้ย จำเลยแพ้คดีและขอทุเลาการบังคับคดี และไม่นำหลักทรัพย์มาประกันภายในกำหนดโจทก์ขอหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานยึดทรัพย์ของจำเลย ในชั้นอุทธรณ์จำเลยชนะคดีโจทก์ จึงร้องขอถอนการยึดทรัพย์ ในที่สุดศาลชั้นต้นสั่งถอนการยึดทรัพย์ ให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมยึดแล้วไม่มีการขายและค่าธรรมเนียมในการบังคับคดี

โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ที่ศาลชั้นต้นให้โจทก์เป็นผู้เสียค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีถอนการยึดนั้นถูกต้อง แต่หมายถึงว่าเป็นการเสียค่าธรรมเนียมชั่วคราวระหว่างคดียังไม่ถึงที่สุดเท่านั้น พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยขอให้ถอนการยึดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 251 และศาลชั้นต้นสั่งอนุญาต ให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมยึดแล้วไม่มีการขาย และค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีนั้นชอบแล้ว เพราะโจทก์เป็นผู้แพ้คดี โจทก์จึงต้องมีความรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมไปจนกว่าศาลฎีกาจะได้มีคำพิพากษาเป็นอย่างอื่นที่โจทก์ฎีกาว่าการถอนการยึดนี้เป็นไปตามอำนาจของกฎหมาย ไม่ใช่เพราะโจทก์ขอถอนโดยสมัครใจ จึงไม่ควรต้องรับผิดนั้น เห็นว่าเรื่องความรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมนั้นเป็นอำนาจของศาลที่จะใช้ดุลพินิจสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 161 ไม่ใช่ต้องเพราะโจทก์เป็นฝ่ายขอถอน โจทก์จึงจะต้องรับผิด

พิพากษายืน ยกฎีกาโจทก์

Share