แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยขับรถแซงขึ้นหน้ารถบันทุกของทหารที่จอดอยู่ข้างหน้านั้น เป็นการขับหลีกรถที่จอดอยู่ไปเท่านั้น ย่อมจะขับหลีกไปได้ ไม่ใช่การเดินรถขึ้นหน้ารถคันใดซึ่งกำลังเดินไปข้างหน้าของรถจำเลย การกระทำของจำเลยจึงไม่ผิดกฎจราจร
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้ง ๒ ขับรถยนต์โดยสารประจำทางสายกรุงเทพฯ – ปากเกร็ด จำเลยทั้ง ๒ ต่างฝ่ายต่างขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้รถคันที่จำเลยทั้ง ๒ ขับมาเกิดการกระแทกและเป็นเหตุให้ผู้โดยสารคันที่จำเลยขับมาหลายคนได้รับบาดเจ็บสาหัสและไม่สาหัส ขอให้ลงโทษ
จำเลยทั้ง ๒ ปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า จำเลยทั้ง ๒ มีความผิดตาม ก.ม.ลักษณะอาญา มาตรา ๒๕๙ พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.๒๔๗๗ มาตรา ๖ พ.ร.บ.จราจรทางบก(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๔๘๑ มาตรา ๔ ให้จำคุกจำเลยทั้ง ๒ มีกำหนด ๖ เดือน ฯลฯ
จำเลยที่ ๑ ฎีกาฝ่ายเดียว
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อที่หาว่าจำเลยที่ ๑ ขับรถแซงรถยนต์คันหนึ่งซึ่งจอดกีดขวางอยู่ข้างหน้าบนเชิงสพานนั้น โจทก์เข้าใจกฎหมายผิด โดยเฉพาะข้อที่ห้ามมิให้เดินขึ้นหน้ารถคันอื่นในที่ ๆ มีรถหรือสิ่งอื่นกีดขวางอยู่ข้างหน้าตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. ๒๔๗๗ ม.๑๑ นั้น ย่อมหมายความว่า ห้ามมิให้เดินรถขึ้นหน้ารถคันอื่นซึ่งกำลังเดินไปข้างหน้าในทางเดียวกันในที่ ๆ มีรถหรือสิ่งอื่นกีดขวางอยู่ข้างหน้า จำเลยที่ ๑ มิได้เดินรถขึ้นหน้ารถคันใดซึ่งกำลังเดินไปข้างหน้ารถของจำเลยที่ ๑ เลย ระหว่างรถของจำเลยที่ ๑ กับรถบันทุกของทหารที่จอดอยู่ไม่มีรถคันอื่นเลย ที่โจทก์เข้าใจว่าการที่จำเลยที่ ๑ ขับรถหลีกรถบันทุกของทหารที่จอดอยู่นั้น เป็นการขับหลีกรถที่จอดอยู่ไปเท่านั้น ย่อมจะขับหลีกไปได้ไม่ผิดกฎจราจร และการที่เกิดการกระทบกระแทกกันขึ้นนั้นเป็นเพราะความผิดของจำเลยที่ฝ่ายเดียว จำเลยที่ ๑ หาได้กระทำผิดไม่ พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ยกฟ้องของโจทก์ในข้อหาส่วนตัวจำเลยที่ ๑