คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1188/2527

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยกับพวกรวม 3 คน เดินตามผู้เสียหายไป แล้วจำเลยยืนขวางผู้เสียหายขณะ บ. พวกจำเลยใช้ปืนขู่บังคับเอาทรัพย์จากผู้เสียหาย ทั้งยังบอกผู้เสียหายให้ส่งทรัพย์ให้ บ. เมื่อจำเลยไม่รู้มาก่อนว่า บ. มีอาวุธปืนติดตัวและจะใช้ในการปล้น การที่ บ. แย่งสายสร้อยไปจากมือผู้เสียหายได้แล้วจึงยิง เป็นพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นในทันใดนั้นเอง จำเลยไม่รู้มาก่อนว่า บ. มีเจตนาจะฆ่าผู้เสียหายดังนี้จำเลยไม่มีความผิดฐานร่วมยิงผู้เสียหายด้วย คงมีความผิดฐานปล้นทรัพย์โดยใช้ปืนยิงเท่านั้น

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสี่, 289(7), 80, 83 ลงโทษตาม มาตรา 289(7), 80 ประกอบด้วยมาตรา 52 ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุกตลอดชีวิต ให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่เจ้าทรัพย์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า คำให้การชั้นสอบสวนและการนำสืบในชั้นศาลเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 33 ปี 4 เดือน จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “โจทก์นำสืบว่าคืนเกิดเหตุเวลาประมาณ00.30 นาฬิกา จำเลยกับพวกอีก 2 คน ได้ชวนนายสุขเกษมผู้เสียหายกับนายวรรณจากร้านเสริมสวยธนิตซึ่งผู้เสียหายทำงานอยู่เข้าไปเที่ยวในซอยแก้วประทานพรที่เกิดเหตุ เดินถึงกลางซอยผู้เสียหายกับนายวรรณขอกลับเพราะซอยมืด เมื่อผู้เสียหายกับนายวรรณเดินกลับออกมาทางปากซอยจำเลยกับพวกได้ติดตามมา แล้วพวกของจำเลยเข้าประชิดตัวผู้เสียหายกับนายวรรณใช้ปืนสั้นจี้ท้องผู้เสียหายบังคับให้หยุดแล้วคลำคอผู้เสียหายซึ่งสวมสร้อยนากราคา 2,500 บาท ผู้เสียหายจับสายสร้อยไว้พร้อมกับผลักพวกของจำเลยคนนั้นได้ผละไปกระชากสร้อยคอทองคำจากนายวรรณ ผู้เสียหายจึงถอดสร้อยนากจะใส่กระเป๋ากางเกง พวกของจำเลยเห็นเข้าได้เข้าแย่งสร้อยไป พร้อมกับยิงผู้เสียหาย1 นัดถูกหน้าท้อง ผู้เสียหายวิ่งหนีกลับไปที่ร้านเสริมสวย นายสมคิด แซ่โง้วเจ้าของร้านได้นำผู้เสียหายส่งโรงพยาบาล ผู้เสียหายรักษาตัวประมาณเดือนเศษมารดาผู้เสียหายได้แจ้งความต่อพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2524 ต่อมาวันที่ 5 สิงหาคม 2524 เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้และค้นได้อาวุธปืนลูกซองสั้น 1 กระบอก และกระสุนปืน 5 นัด อยู่ในความครอบครองของจำเลย

จำเลยนำสืบว่า คืนเกิดเหตุจำเลยกับนายบูลย์นายเบิ้มไปคุยกับผู้เสียหายที่ร้านเสริมสวย แล้วผู้เสียหายกับเพื่อนอีกคนหนึ่งตามจำเลยกับพวกเข้าไปในซอยที่เกิดเหตุเพื่อไปบ้านนายบูลย์ ระหว่างทางผู้เสียหายกับเพื่อนขอกลับนายบูลย์ให้จำเลยกับนายเบิ้มไปส่ง เดินมาประมาณ 20 เมตร นายบูลย์ตามมาชักอาวุธปืนสั้นจี้ผู้เสียหายบังคับให้หยุด และค้นตัวผู้เสียหายกับเพื่อนผู้เสียหายขัดขืนปัดปืน ปืนลั่นขึ้น 1 นัดถูกผู้เสียหายจำเลยกับนายเบิ้มพากันวิ่งหนีกลับบ้าน รุ่งขึ้นจำเลยหลบไปอยู่จังหวัดอุทัยธานี แล้วกลับมาเยี่ยมบ้านจึงถูกจับ

คดีมีปัญหาว่า จำเลยร่วมกับพวกปล้นเอาทรัพย์และยิงผู้เสียหายหรือไม่ พิเคราะห์แล้วโจทก์มีตัวผู้เสียหายเป็นพยานว่า เมื่อผู้เสียหายและนายวรรณเดินแยกจากพวกจำเลยมาได้ประมาณ 5-6 ก้าว จำเลยกับพวกได้เดินตามหลังมาพวกของจำเลยซึ่งทราบภายหลังว่าชื่อนายบูลย์ได้บอกให้หยุดแล้วเข้าประชิดตัวผู้เสียหายใช้อาวุธปืนพกจ้องหน้าท้องถามถึงสายสร้อยและคลำคอผู้เสียหายขณะนั้นจำเลยกับพวกยืนห่างประมาณ 2 เมตร โดยจำเลยยืนขวางหน้าผู้เสียหายไว้ จำเลยบอกผู้เสียหายว่าให้เขาไปเสีย จำเลยก็นำสืบรับว่า จำเลยได้ร้องบอกผู้เสียหายนั้นจริง หลังเกิดเหตุแล้วจำเลยก็หลบหนีออกจากบ้านไป พฤติการณ์ส่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาร่วมกับพวกในการเอาทรัพย์จากผู้เสียหาย มิฉะนั้นจำเลยก็ไม่น่าจะร่วมติดตามผู้เสียหายมาอีก และยืนขวางผู้เสียหายไว้ในขณะที่พวกของจำเลยขู่เข็ญเอาทรัพย์จากผู้เสียหาย ทั้งยังบอกผู้เสียหายให้ส่งทรัพย์ให้พวกของจำเลยอีกแต่จำเลยจะมีความผิดฐานร่วมกับพวกยิงผู้เสียหายด้วยเจตนาฆ่าด้วยหรือไม่นั้น เห็นว่าข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า จำเลยรู้มาก่อนว่าพวกของจำเลยมีอาวุธปืนติดตามมาด้วย และจะใช้อาวุธปืนในการปล้นทรัพย์ จำเลยเพียงแต่ยืนกั้นหน้าผู้เสียหายไว้ไม่ได้ร่วมทำร้ายผู้เสียหายแต่ประการใด พวกของจำเลยแย่งเอาสายสร้อยไปจากมือผู้เสียหายได้แล้วจึงยิงผู้เสียหาย อันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในทันใดนั้นเอง โดยจำเลยไม่ล่วงรู้มาก่อนว่าพวกของจำเลยคนนั้นมีเจตนาจะฆ่าผู้เสียหาย การที่จำเลยบอกให้ผู้เสียหายยอมส่งทรัพย์ให้พวกของจำเลยแต่โดยดีก็บ่งชัดว่าจำเลยไม่ประสงค์ให้มีการทำร้ายเกิดขึ้นรูปคดีจึงไม่พอฟังได้ว่าจำเลยได้ร่วมยิงผู้เสียหายด้วย ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(7)ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย จำเลยคงมีความผิดฐานปล้นทรัพย์โดยใช้ปืนยิงเท่านั้น”

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสี่ ให้จำคุก 15 ปี คำให้การชั้นสอบสวนและคำเบิกความชั้นศาลเป็นประโยชน์การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยไว้ 10 ปีนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share