คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1178/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้เงินและจำนองที่ดินไว้กับโจทก์ เมื่อครบกำหนดจำเลยไม่ไถ่ถอนจำนอง ขอให้บังคับจำเลยไถ่ถอนจำนอง หากไม่ไถ่ถอนก็ขอให้บังคับจำนอง จำเลยให้การต่อสู้ว่า ไม่เคยกู้และรับเงินจำนอง ความจริงเป็นเรื่องการเช่าซื้อรถยนต์ระหว่างสามีจำเลยกับสามีโจทก์ สามีโจทก์เกรงจะไม่ได้เงินค่าเช่าซื้อ จึงให้จำเลยจำนองที่ดินไว้กับโจทก์เป็นประกัน ดังนี้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าสัญญาจำนองทำขึ้นเพื่อเป็นประกันเช่าซื้อ มิใช่เพื่อประกันการกู้ดังโจทก์ฟ้องขอบังคับแล้ว ศาลขอบที่จะพิพากษายกฟ้องโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องใจความว่า เมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๑๒ จำเลยกู้เงินและจำนองที่ดินไว้กับโจทก์ ๒ แปลง จำเลยไม่เคยชำระดอกเบี้ย และเมื่อครบกำหนดจำเลยมิได้ไถ่ถอนจำนอง ดอกเบี้ยค้างชำระถึงวันฟ้องรวมเป็นเงิน ๑๕,๓๗๕ บาท โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยไถ่ถอนจำนองแล้วเมื่อต้นเดือนมกราคม ๒๕๑๔ จำเลยเพิกเฉย จึงขอให้บังคับให้จำเลยนำเงินต้นและดอกเบี้ยรวม ๗๕,๓๗๕ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปีในเงิน ๖๐,๐๐๐ บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะไถ่ถอนจำนองเสร็จมาไถ่ถอนจำนองจากโจทก์ หากไม่สามารถนำเงินมาไถ่ถอน ก็ให้ยึดที่ดินจำนองขายทอดตลาดเอาเงินมาชำระให้แก่โจทก์ กับให้จำเลยเสียค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์
จำเลยให้การว่า ไม่เคยกู้เงินและรับเงินตามสัญญาจำนองทั้งสองฉบับเลย ความจริงเป็นเรื่องการเช่าซื้อรถยนต์ยี่ห้อนิสสันเลขทะเบียน น.ค.๐๐๗๖๕ ระหว่างนายพรหมา จิระขาน สามีจำเลย กับนายเจียมจือ แซ่ตั้น สามีโจทก์ สามีโจทก์เกรงจะไม่ได้เงินค่าเช่าซื้อจึงให้จำเลยนำที่ดินมาฟ้องจำนองไว้กับโจทก์เป็นประกัน จำเลยไม่ได้รับเงินตามสัญญาจำนองทั้งสองฉบับแต่อย่างใด สัญญาจำนองจึงไม่สมบูรณ์ ใช้บังคับจำเลยไม่ได้และแม้จะฟังว่าสมบูรณ์ แต่หนี้ตามสัญญาทั้งสองฉบับได้ระงับหรือชำระเสร็จสิ้นไปแล้วโดยสามีโจทก์ด้วยความรู้เห็นยินยอมของโจทก์ได้ตกลงเรียกเอารถยนต์ที่เช่าซื้อคืนไปตั้งแต่เดือนเมษายน ๒๕๑๒ และรับรองจะไถ่ถอนจำนองให้ แล้วได้นำไปขายให้แก่บุคคลอื่นอีกหลายราย โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องคดีนี้ ทั้งระหว่างเช่าซื้อ สามีจำเลยก็ได้ส่งเงินให้แก่สามีโจทก์ไป ๘,๘๐๐ บาท จำเลยไม่เคยติดค้างดอกเบี้ยและโจทก์ไม่เคยทวงถาม ขอให้ยกฟ้องและให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมค่าทนายความแทนจำเลย
ศาลชั้นต้นฟังว่า สัญญาจำนองเกิดขึ้นเพราะการค้ำประกันการเช่าซื้อรถยนต์มิใช่เป็นการกู้ยืม จำเลยมิได้รับเงินตามสัญญาจำนอง และหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อได้ยกเลิกกันไปแล้ว ทั้งโจทก์มิได้ทวงถามให้จำเลยไถ่ถอนการจำนองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๒๘ เป็นการไม่ชอบ พิพากษายกฟ้อง ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมค่าทนายความให้เป็นพับกันไปทั้งสองฝ่าย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วฟังว่า สัญญาจำนองทำด้วยเจตนาจะอำพรางการค้ำประกันการเช่าซื้อ ต้องบังคับตามสัญญาเช่าซื้ออันเป็นเจตนาที่ทำกันจริง โจทก์จึงฟ้องบังคับจำนองไม่ได้ ไม่จำต้องวินิจฉัยถึงประเด็นอื่นต่อไป พิพากษายืนในผลที่ให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ ๓๐๐ บาทแทนจำเลย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สัญญาจำนองทำขึ้นเพื่อเป็นประกันการเช่าซื้อ หาใช่เพื่อประกันการกู้ดังโจทก์ฟ้องขอบังคับไม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา ๔๐๐ บาทแทนจำเลย.

Share