แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ก่อสร้างตึกเต็มเนื้อที่ดินของโจทก์ แล้วทำทางเท้าและคันหินบนทางเท้าล้ำเข้าไปในที่ดินของจำเลยซึ่งอยู่ติดกัน โดยจำเลยตกลงยินยอม ถือว่าเป็นการได้มาซึ่งสิทธิเหนือพื้นดิน อันเป็นทรัพสิทธิ เมื่อมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียน ย่อมไม่บริบูรณ์ ครั้นต่อมาจำเลยบอกกล่าวไม่ยินยอมให้มีทางเท้าและคันหินล้ำบนที่ดินของจำเลยอีกต่อไป โจทก์ก็ไม่มีสิทธิใช้ประโยชน์ในที่ดินของจำเลยได้แต่ทางเท้าและคันหินนั้นไม่ตกเป็นส่วนควบของที่ดินจำเลย
เมื่อจำเลยบอกกล่าวให้โจทก์รื้อถอนทางเท้าและคันหินออกไปจากที่ดินของจำเลย โจทก์ไม่ยอมรื้อถอน ก็ชอบที่จำเลยจะใช้สิทธิทางศาล ไม่มีอำนาจเข้ารื้อถอนโดยพลการ เพราะไม่เข้าเกณฑ์แห่งบทบัญญัติว่าด้วยนิรโทษกรรม หากจัดการรื้อถอนเสียเอง ย่อมเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ ซึ่งจะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ซื้อที่ดินจากจำเลยที่ ๒ ปลูกตึก และจำเลยที่ ๒ ตกลงให้โจทก์มีสิทธิใช้ประโยชน์ในที่ดินของจำเลยที่ ๒ ซึ่งอยู่ข้างเคียงได้ โจทก์ได้ทำทางเท้ากว้าง ๙๐ เซนติเมตรและทำคันหินบนขอบทางเท้ากว้าง ๔๐ เซนติเมตร ยาวตลอดแนว สิ้นค่าก่อสร้าง ๕,๐๐๐ บาท ต่อมาจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นตัวแทนดูแลที่ดินของจำเลยที่ ๒ ได้ให้คนงานรื้อทำลายคันหินของโจทก์โดยพลการซึ่งจำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดชอบ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันทำคันหินให้คืนสภาพเดิม ถ้าไม่ทำให้ใช้ค่าเสียหาย ๓,๐๐๐ บาท
จำเลยที่ ๑ ขอให้ศาลเรียกห้างหุ้นส่วนจำกัดเฉลิมเกียรติบริการก่อสร้างเข้าเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เรียกเข้ามาเป็นจำเลยที่ ๓
จำเลยทั้งสามต่อสู้ว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ใช่ลูกจ้างจำเลยที่ ๒ แต่เป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นผู้เช่าที่ดินและตลาดของจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ ไม่เคยยินยอมให้โจทก์มีสิทธิใช้ประโยชน์ในที่ดินของจำเลยที่ ๒ โจทก์บุกรุกเข้ามาสร้างทางเท้าและคันหินโดยพลการ จำเลยที่ ๑ – ๓ บอกให้โจทก์รื้อ ก็ไม่ยอมรื้อ ผู้จัดการของจำเลยที่ ๒ จึงให้จำเลยที่ ๑ รื้อ และตัดฟ้องว่า ทางเท้าและคันหินตกเป็นส่วนควบของที่ดินจำเลยที่ ๒ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องในมูลละเมิด และฟ้องเคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑, ๓ ร่วมกันใช้เงินแก่โจทก์ ๑,๒๐๐ บาท
โจทก์ จำเลยที่ ๑, ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ได้ก่อสร้างตึกสถานพยาบาลเต็มเนื้อที่ดินของโจทก์ แล้วทำทางเท้าและคันหินบนทางเท้า สำหรับปลูกต้นไม้ล้ำเข้าไปในทางเดินอันเป็นที่ดินของจำเลยที่ ๒ ด้านที่ติดกับตึกของโจทก์กว้าง ๙๐ เซนติเมตร ยาวตลอดตัวตึก โดยจำเลยที่ ๒ ยินยอมให้โจทก์ก่อสร้างได้ และวินิจฉัยต่อไปว่า แต่การตกลงยินยอมนี้ถือว่าเป็นการได้มาซึ่งสิทธิเหนือพื้นดินอันเป็นทรัพสิทธิ เมื่อมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึง ไม่บริบูรณ์ ครั้นต่อมาเมื่อจำเลยที่ ๒ บอกกล่าวไม่ยินยอมให้มีทางเท้าและคันหินล้ำบนที่ดินของจำเลยที่ ๒ อีกต่อไป โจทก์ก็ไม่มีสิทธิใช้ประโยชน์ในที่ดินของจำเลยที่ ๒ ได้
ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ทางเท้าและคันหินเป็นส่วนควบของที่ดินจำเลยที่ ๒ ฉะนั้น การที่จำเลยที่ ๑ ไปทำลายคันหินและทางโดยความยินยอมของจำเลยที่ ๒ จึงไม่เป็นละเมิดนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ทางเท้าและคันหินที่โจทก์ทำขึ้นนั้นหาใช่เป็นส่วนควบของที่ดินจำเลยที่ ๒ อันจะพึงถือว่าจำเลยที่ ๒ เป็นเจ้าของในทางเท้าและคันหินนั้นไม่ เมื่อโจทก์ก่อสร้างทางเท้าและคันหินในที่ของจำเลยที่ ๒ และจำเลย ที่ ๒ บอกให้โจทก์รื้อถอน โจทก์ขัดขืนไม่ยอมรื้อถอน ในกรณีเช่นนี้ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ ๒ ชอบที่จะใช้สิทธิทางศาล ไม่มีอำนาจที่จะทำการรื้อถอนได้โดยพลการ เพราะพฤติการณ์แห่งกรณี ไม่เข้าเกณฑ์แห่งบทบัญญัติว่าด้วยนิรโทษกรรม การที่จำเลยที่ ๑ โดยความยินยอมของจำเลยที่ ๒ ไปทำลายคันหินและทางเท้าเสียเอง จึงเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดด้วย
สำหรับค่าเสียหายที่โจทก์สืบว่า ถ้าจะทำให้ดีดังเดิมต้องใช้เงินราว ๒,๕๐๐ บาทนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า จะถือเงินจำนวนนี้เป็นหลักสำหรับค่าเสียหายในคดีนี้ไม่ได้ เพราะโจทก์จะทำคันหินและทางเท้าในที่ของจำเลยที่ ๒ ต่อไปไม่ได้แล้ว สมควรคิดค่าเสียหายให้ตามควรแก่พฤติการณ์เท่าที่ศาลชั้นต้นกำหนดเป็นเงิน ๑,๒๐๐ บาท
พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ๑,๒๐๐ บาท