แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ได้เช่าตึกพิพาทจาก ส. แต่เข้าครอบครองตึกชั้นล่างไม่ได้เพราะจำเลยครอบครองอยู่ จึงได้มีการฟ้องคดีกันระหว่างโจทก์จำเลยหลายคดี ในที่สุดได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยโจทก์ยอมให้จำเลยอาศัยอยู่ในตึกพิพาทชั้นล่าง จนสิ้นเดือนมีนาคม 2519 แต่ยังไม่ครบกำหนด โจทก์ก็มาฟ้องคดีนี้ขอให้ศาลหมายเรียก ส.เข้ามาเป็นโจทก์ร่วมด้วย เช่นนี้ จำเลยอยู่ในตึกพิพาทโดยอาศัยสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยมิได้รบกวนขัดขวางสิทธิโจทก์และไม่ได้โต้แย้งสิทธิของ ส. เมื่อโจทก์ให้จำเลยอาศัยเอง และหากศาลพิพากษาให้โจทก์แพ้คดี โจทก์ย่อมไม่อาจฟ้องหรือถูก ส. ฟ้องตนได้เพื่อการใช้สิทธิไล่เบี้ยหรือเพื่อใช้ทดแทน และไม่ใช่กรณีที่กฎหมายบังคับให้บุคคลภายนอกเข้ามาในคดี กรณีจึงไม่ชอบที่จะหมายเรียก ส. เข้ามาในคดีตามมาตรา 549 ประกอบด้วยมาตรา 477 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และตามาตรา 57(3) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ศาลจึงบังคับให้ขับไล่จำเลยตามคำขอของ ส. ไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและขอให้เรียกสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เข้ามาเป็นโจทก์ร่วม โดยบรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้เช่าตึก ๒ ชั้นจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เมื่อทำสัญญาแล้วโจทก์ครอบครองตึกที่เช่าได้เฉพาะชั้นบน ส่วนชั้นล่างจำเลยครอบครองอยู่เดิมและขัดขวางไม่ให้โจทก์เข้าครอบครอง จำเลยขออนุญาตอยู่ต่อแต่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไม่ยินยอม โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยออกไปจำเลยขัดขืน เป็นเหตุให้โจทก์ขาดประโยชน์มิได้ทำการค้าในตึกชั้นล่าง ได้รับความเสียหายหายไม่ต่ำกว่าเดือนละ ๓,๐๐๐ บาท ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากตึกพิพาทและให้ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ด้วย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเรียกสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เข้ามาเป็นโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมอ้างว่าเป็นเจ้าของตึกพิพาทและมิได้อนุญาตให้จำเลยอยู่ในตึกแถวดังกล่าว ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไป
จำเลยให้การและคัดค้านการเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมของสำนักงานทรัพย์สินฯ ว่าจำเลยเช่าช่วงชั้นล่างตึกพิพาทจากผู้เช่าเดิม จำเลยมีเจตนารับโอนการเช่าต่อ แต่โจทก์ชิงรับโอนการเช่าไปเสียก่อน โจทก์กับจำเลยจึงเกิดพิพาทเกี่ยวกับการครอบครองตึกพิพาทรวม ๓ คดีด้วยกัน ทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา ศาลได้ไกล่เกลี่ย โจทก์กับจำเลยจึงได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่ายอมระงับคดีทั้ง ๓ คดี โดยโจทก์ยอมให้จำเลยอยู่ชั้นล่างของตึกพิพาทจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๑๙ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้เพราะข้อพิพาทระงบไปแล้วตามสัญญาประนีประนอมยอมความ และโจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นฟ้องซ้ำ จำเลยไม่ได้รอนสิทธิใด ๆ ของโจทก์ ไม่ได้ทำให้สำนักงานทรัพย์สิน ฯ เสียหาย โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกสำนักงานทรัพย์สินฯ เข้าเป็นโจทก์ร่วม ไม่เข้าเกณฑ์มาตรา ๕๗(๓) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โจทก์หาทางบิดพลิ้วข้อตกลงที่ทำไว้กับจำเลยจึงฟ้องคดีนี้และเรียกสำนักงานทรัพย์สิน ฯ เข้าเป็นโจทก์ร่วม เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต
ชั้นพิจารณา โจทก์แถลงรับว่าเคยทำสัญญาประนีนอมยอมความกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๔๔๖/๒๕๑๖ ของศาลจังหวัดนครปฐม และเคยพิพาทกับจำเลยในกรณีเดียวกันมานี้แล้วในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๓๓๑/๒๕๑๕ ของศาลเดียวกัน ศาลชั้นต้นเห็นว่ารูปคดีพอวินิจฉัยได้แล้วจึงวินิจฉัยว่า โจทก์ต้องห้ามมิให้ฟ้องคดีนี้ เพราะได้ตกลงระงับข้อพิพาทกับจำเลยไปแล้ว ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๔๔๖/๒๕๑๖ และฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับฟ้องแย้งของโจทก์ซึ่งเป็นจำเลยในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๓๓๑/๒๔๑๔ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ ส่วนโจทก์ร่วมเป็นเจ้าของตึกพิพาท มิได้อนุญาตให้จำเลยอยู่ในตึกพิพาทย่อมมีสิทธิขอให้ขับไล่จำเลยได้ พิพากษายกฟ้องโจทก์ แต่ให้ขับไล่จำเลยกับบริวารตามคำขอของโจทก์ร่วม
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์รู้อยู่แล้วว่าไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลย การที่โจทก์ขอให้ศาลหมายเรียกสำนักงานทรัพย์สินฯ เข้ามาเป็นโจทก์ร่วมเพื่อบังคับขับไล่จำเลยออกไปเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต พิพากษาแก้ว่า ให้ยกคำสั่งและคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่เรียกสำนักงานทรัพย์สินฯ เข้ามาเป็นโจทก์ร่วมและบังคับขับไล่จำเลยตามคำขอของสำนักงานทรัพย์สิน ฯ นั้นเสีย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ร่วมแต่ผู้เดียวฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าคดีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยแต่เพียงว่า ชอบที่ศาลจะหมายเรียกสำนักงานทรัพย์สินฯ เข้ามาเป็นโจทก์ร่วมตามคำขอของโจทก์และบังคับขับไล่จำเลยออกจากตึกพิพาทได้หรือไม่ คดีนี้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า สำนักงานทรัพย์สินฯ เป็นเจ้าของตึกพิพาทเดิมให้นายเอี่ยม ประจักษ์ทรัพย์ เป็นผู้เช่า จำเลยได้เช่าตึกชั้นล่างจากภรรยานายเอี่ยมต่อมาโจทก์ได้รับโอนสิทธิการเช่าตึกนี้จากนายเอี่ยมและได้ทำสัญญาเช่ากับสำนักงานทรัพย์สินฯ แล้ว แต่เข้าครอบครองตึกชั้นล่างไม่ได้ เพราะจำเลยเข้าครอบครองอยู่ ได้มีการฟ้องกันทั้งคดีแพ่งและคดีอาญายังศาลจังหวัดนครปฐม ในที่สุดโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยโจทก์ยอมให้จำเลยอาศัยอยู่ในชั้นล่างของตึกพิพาทไปจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๑๙ ปรากฏตามรายงานกระบวนการพิจารณาของศาลในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๔๔๖/๒๕๑๖ ลงวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๑๖ ต่อมาวันที่ ๓๑ตุลาคม ๒๕๑๖ โจทก์ก็มาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ และขอให้ศาลหมายเรียกสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เข้ามาเป็นโจทก์ร่วม ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยอยู่ในตึกพิพาทชั้นล่างโดยอาศัยสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำไว้กับโจทก์ จำเลยไม่ได้ก่อการรบกวนขัดสิทธิของโจทก์และไม่ได้โต้แย้งสิทธิของสำนักงานทรัพย์สินฯ เมื่อโจทก์ให้จำเลยอาศัยเอง และหากศาลพิพากษาให้โจทก์แพ้คดีโจทก์ย่อไม่อาจฟ้องหรือถูกสำนักงานทรัพย์สินฯ ฟ้องตนได้เพื่อการใช้สิทธิไล่เบี้ยหรือเพื่อใช้ค่าทดแทน และไม่ใช่กรณีที่กฎหมายบังคับให้บุคคลภายนอกเข้ามาในคดี กรณีจึงไม่ชอบที่จะหมายเรียก สำนักงานทรัพย์สินฯ เข้ามาในคดีตามมาตรา ๕๔๙ ประกอบด้วยมาตรา ๔๗๗ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และตามมาตรา ๕๗(๓) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ศาลจึงบังคับให้ขับไล่จำเลยตามคำขอของสำนักงานทรัพย์สินฯ ไม่ได้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว
พิพากษายืน