คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11298/2553

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์ให้จำเลยที่ 2 และ ฉ. นั่งซ้อนท้าย เมื่อพบผู้เสียหายและ พ. ขับรถจักรยานยนต์แล่นสวนทางมา จำเลยที่ 1 เลี้ยวกลับรถจักรยานยนต์ขับไล่ติดตามรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายพร้อมทั้งมีการตะโกนบอกให้ผู้เสียหายหยุดรถ เมื่อผู้เสียหายไม่ยอมหยุดรถ ฉ. ใช้อาวุธปืนยิงถูกกระจกมองข้างรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายจนแตก แล้วจอดรถให้ ฉ. ลงจากรถไปใช้อาวุธปืนจี้เอาเงินสดและรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย โดยในระหว่างนั้น จำเลยที่ 1 ก็ยังคงจอดรถจักรยานยนต์รออยู่ในบริเวณใกล้เคียงในลักษณะที่พร้อมจะให้ความช่วยเหลือ ฉ. ได้ทันที หากมีเหตุที่จะต้องให้ความช่วยเหลือ เมื่อ ฉ. ได้ทรัพย์ของผู้เสียหายและขับรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายออกไปจากที่เกิดเหตุ จำเลยที่ 1 ก็ขับรถจักรยานยนต์พาจำเลยที่ 2 นั่งซ้อนท้ายหลบหนีตาม ฉ. ไปด้วยกัน ย่อมแสดงให้เห็นว่ามีการคบคิดกันมาแต่แรกโดยมีการแบ่งหน้าที่กันทำ พฤติการณ์ดังกล่าวย่อมฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 2 และ ฉ. ปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 340 วรรคสอง และวรรคสี่, 340 ตรี, 371, 80, 83, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง, 340 ตรี, 371, 83 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคหนึ่ง, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันปล้นทรัพย์โดยใช้อาวุธปืนและใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิด จำคุกคนละ 19 ปี 6 เดือน ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุกคนละ 1 ปี ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านและทางสาธารณะ เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 6 เดือน รวมจำคุกคนละ 20 ปี 12 เดือน จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละหนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 15 ปี 9 เดือน ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 และนายฉัตรชัยเป็นคนร้ายที่กระทำความผิดดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาหรือไม่ การที่จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์ให้จำเลยที่ 2 และนายฉัตรชัยนั่งซ้อนท้าย เมื่อพบผู้เสียหายและนางสาวเพ็ญประภาขับรถจักรยานยนต์แล่นสวนทางมา จำเลยที่ 1 ก็เลี้ยวกลับรถจักรยานยนต์ขับไล่ติดตามรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไปจนทันพร้อมทั้งมีการตะโกนบอกให้ผู้เสียหายหยุดรถ เมื่อผู้เสียหายไม่ยอมหยุดรถนายฉัตรชัยที่นั่งซ้อนท้ายสุดก็ใช้อาวุธปืนที่พาติดตัวไปยิงไปถูกกระจกมองข้างรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายจนแตกได้รับความเสียหาย แล้วจอดรถให้นายฉัตรชัยลงจากรถไปใช้อาวุธปืนจี้เอาเงินสดและรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย โดยในระหว่างที่นายฉัตรชัยทำการจี้ชิงทรัพย์ของผู้เสียหายอยู่นั้น จำเลยที่ 1 ก็ยังคงจอดรถจักรยานยนต์รออยู่ในบริเวณใกล้เคียงในลักษณะที่พร้อมจะให้ความช่วยเหลือนายฉัตรชัยได้ทันที หากมีเหตุที่จะต้องให้ความช่วยเหลือ และหลังเกิดเหตุเมื่อนายฉัตรชัยได้ทรัพย์ของผู้เสียหายและขับรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายออกจากที่เกิดเหตุไป จำเลยที่ 1 ก็ขับรถจักรยานยนต์พาจำเลยที่ 2 นั่งซ้อนท้ายหลบหนีตามนายฉัตรชัยไปด้วยกันนั้น ย่อมแสดงให้เห็นได้ว่าได้มีการคบคิดกันมาแต่แรกแล้วว่าจะร่วมกันปล้นเอาทรัพย์สินของผู้อื่นโดยมีการแบ่งหน้าที่กันทำมาแต่ต้น พฤติการณ์ดังกล่าวย่อมฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 2 และนายฉัตรชัยปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย
พิพากษาแก้เป็นว่า ลดโทษให้จำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุกคนละ 13 ปี 12 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7

Share