แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้จึงมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยและนัดฟังคำพิพากษา ซึ่งศาลชั้นต้นก็ได้พิพากษาคดีในวันดังกล่าวโดยนำข้อเท็จจริงจากที่คู่ความแถลงร่วมกันมาวินิจฉัยชี้ขาดคดี ดังนั้น คำสั่งงดสืบพยานของศาลชั้นต้นในกรณีนี้เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 226 วรรคหนึ่ง มิใช่คำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตามมาตรา 24 หากโจทก์เห็นว่าข้อเท็จจริงยังไม่เพียงพอแก่การวินิจฉัยชี้ขาดในปัญหาข้อกฎหมายชอบที่ศาลชั้นต้นจะต้องสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมหรือมีการสืบพยานต่อไปก็ต้องโต้แย้งคำสั่งไว้ มิฉะนั้นต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามมาตรา 226 (2)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยสมัครเป็นสมาชิกบัตรเครดิตของโจทก์แล้วนำบัตรดังกล่าวไปใช้แทนเงินสดในการซื้อสินค้าและบริการตลอดจนเบิกเงินสดจากเครื่องฝากถอนเงินอัตโนมัติ โจทก์ได้ออกเงินทดรองจ่ายแทนจำเลยไปแล้วแต่จำเลยผิดนัดไม่ชำระเงินคืนตามที่โจทก์ได้ทดรองจ่ายไป คิดถึงวันฟ้องจำเลยค้างชำระหนี้จากการใช้บัตรเครดิตเป็นเงิน 53,388.52 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 53,388.52 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 32,209.04 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยใช้จ่ายบัตรเครดิตของโจทก์ครั้งสุดท้ายวันที่ 17 ธันวาคม 2540 และได้ชำระหนี้ครั้งสุดท้ายวันที่ 30 กรกฎาคม 2544 โจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 8 สิงหาคม 2546 ซึ่งพ้นกำหนด 2 ปี สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงขาดอายุความ โจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17 ต่อปี เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด การคิดดอกเบี้ยของโจทก์จึงตกเป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา คู่ความแถลงข้อเท็จจริงร่วมกันแล้วขอให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาข้อกฎหมายเพียงประเด็นเดียวว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์และจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินในชั้นอุทธรณ์ 1,135 บาท ให้แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากนี้ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า คดีนี้ในวันนัดสืบพยานโจทก์จำเลยวันที่ 20 เมษายน 2547 โจทก์จำเลยแถลงข้อเท็จจริงร่วมกันแล้วขอให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาข้อกฎหมายในประเด็นว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เพียงประเด็นเดียว ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้จึงมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยและนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 29 เมษายน 2547 ซึ่งศาลชั้นต้นก็ได้พิพากษาคดีในวันดังกล่าวโดยนำข้อเท็จจริงจากที่คู่ความแถลงร่วมกันมาวินิจฉัยชี้ขาดคดี ดังนี้ คำสั่งงดสืบพยานของศาลชั้นต้นในกรณีนี้เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 วรรคหนึ่ง มิใช่คำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 หากโจทก์เห็นว่าข้อเท็จจริงยังไม่เพียงพอแก่การวินิจฉัยชี้ขาดในปัญหาข้อกฎหมายชอบที่ศาลชั้นต้นจะต้องสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมหรือมีการสืบพยานต่อไปก็ต้องโต้แย้งคำสั่งไว้ มิฉะนั้นต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 (2) เมื่อนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าวจนถึงวันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเป็นเวลา 9 วัน โจทก์ย่อมมีเวลาเพียงพอที่จะโต้แย้งคำสั่งนั้นได้แต่มิได้โต้แย้งไว้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 (2) แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยให้ก็เป็นการวินิจฉัยไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาของโจทก์”
พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 และยกฎีกาของโจทก์ คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาแก่โจทก์ ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ