คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1124/2545

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นธนาคารพาณิชย์ให้บริการประเภทบัตรเครดิตแก่สมาชิกซึ่งทำให้สมาชิกสามารถใช้บัตรเครดิตที่โจทก์ออกให้ไปใช้จ่ายค่าสินค้าที่ซื้อจากร้านค้าหรือค่าบริการที่ใช้จากสถานบริการแทนการชำระด้วยเงินสด การที่โจทก์ได้ชำระเงินแก่เจ้าหนี้ของสมาชิกแทนสมาชิกไปก่อนหรือให้สมาชิกเบิกถอนเงินสดล่วงหน้าแล้วเรียกเก็บเงินจากสมาชิกในภายหลังก็เป็นการเรียกเอาเงินที่โจทก์ได้ทดรองไป จึงมีอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/34(7)
จำเลยใช้บัตรซิตี้แบงก์วีซ่าครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2540 ครบกำหนดต้องชำระหนี้ภายในวันที่ 12 กันยายน 2540 และจำเลยใช้บัตรซิตี้แบงก์มาสเตอร์การ์ดครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2540 ครบกำหนดต้องชำระหนี้ภายในวันที่ 22สิงหาคม 2540 ซึ่งวันที่จำเลยต้องชำระหนี้บัตรเครดิตทั้งสองใบดังกล่าวเป็นวันที่โจทก์ย่อมบังคับสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระได้ ต่อมาจำเลยชำระหนี้บางส่วนตามบัตรซิตี้แบงก์วีซ่าให้โจทก์ เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2540 และชำระหนี้บางส่วนตามบัตรซิตี้แบงก์มาสเตอร์การ์ดให้โจทก์เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2540 อันเป็นการรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงและเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันดังกล่าวเป็นต้นมาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14(1) และมาตรา 193/15 โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2543 พ้นกำหนด 2 ปี นับแต่วันที่ 18 ธันวาคม 2540 และวันที่ 27 ธันวาคม 2540 อันเป็นวันเริ่มนับอายุความใหม่ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ
นับแต่จำเลยชำระหนี้บางส่วนให้โจทก์ครั้งสุดท้ายแล้ว จำเลยไม่เคยใช้บัตรเครดิตของโจทก์อีก ทั้งโจทก์มิได้ออกเงินทดรองให้แก่จำเลย ใบแจ้งยอดบัญชีที่โจทก์ส่งให้จำเลยแต่ละเดือนต่อมาล้วนแต่เป็นการคิดบวกรวมดอกเบี้ยที่จำเลยผิดนัด เบี้ยปรับที่จำเลยชำระหนี้ล่าช้าเข้ากับต้นเงินที่จำเลยต้องชำระให้แก่โจทก์ทั้งสิ้น การที่โจทก์ยังให้โอกาสจำเลยนำเงินมาชำระให้โจทก์ต่อไปอีกก็มิได้หมายความว่าโจทก์ไม่อาจใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ที่ติดค้างดังกล่าวแล้วให้แก่โจทก์โดยทันที เพียงแต่โจทก์ผ่อนผันไม่บังคับสิทธิเรียกร้องเอาแก่จำเลยเท่านั้น ทั้งโจทก์ก็คิดดอกเบี้ยและเบี้ยปรับที่ชำระหนี้ล่าช้าเป็นการตอบแทนที่จำเลยไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ครบถ้วนตามวันที่ถึงกำหนดชำระอายุความจึงเริ่มนับอีกครั้งเมื่อจำเลยชำระหนี้บางส่วนให้แก่โจทก์ครั้งสุดท้ายตามหนี้บัตรเครดิตแต่ละใบมิใช่เริ่มนับตั้งแต่วันที่โจทก์เรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ที่ค้างทั้งหมดโดยไม่ผ่อนผันให้จำเลยค้างชำระหนี้อีกต่อไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นสมาชิกบัตรเครดิตของโจทก์ จำนวน 2 ใบจำเลยผิดนัดไม่ชำระเงินคืนตามที่โจทก์ได้ทดรองจ่ายไปโจทก์ได้บอกเลิกการเป็นสมาชิกบัตรแล้ว ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 178,956.94 บาทและดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 35 ต่อปี ของต้นเงิน 47,714.76 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ30 ต่อปีของต้นเงิน 48,913.33 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ เพราะว่ายอดบัญชีบัตรวีซ่านั้นจำเลยใช้จ่ายบัตรเครดิตครั้งสุดท้ายวันที่ 20 กรกฎาคม 2540 ต่อมาจำเลยได้ชำระหนี้ครั้งสุดท้ายวันที่ 17 ธันวาคม 2540 ส่วนยอดบัญชีบัตรมาสเตอร์การ์ด จำเลยใช้จ่ายบัตรเครดิตครั้งสุดท้ายวันที่ 28 กรกฎาคม 2540 ต่อมาจำเลยได้ชำระหนี้ครั้งสุดท้ายวันที่ 26 ธันวาคม 2540 ดังนั้นสิทธิเรียกร้องในยอดหนี้บัตรเครดิตทั้งสองใบ โจทก์จะต้องฟ้องคดีภายในกำหนด 2 ปีแต่คดีนี้โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 20มกราคม 2543 ซึ่งเกินกว่า 2 ปี คดีของโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยเฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าโจทก์ประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์และประกอบธุรกิจให้บริการประเภทบัตรเครดิตจำเลยเป็นสมาชิกบัตรเครดิตของโจทก์จำนวน 2 ใบ คือ บัตรซิตี้แบงก์วีซ่า และบัตรซิตี้แบงก์มาสเตอร์การ์ด จำเลยยอมผูกพันตามเงื่อนไขของผู้ถือบัตรและสามารถนำบัตรเครดิตดังกล่าวของโจทก์ไปใช้แทนเงินสดในการซื้อสินค้า ชำระค่าบริการและเบิกถอนเงินสดล่วงหน้า โดยตกลงให้โจทก์ทดรองจ่ายเงินแก่สถานประกอบการค้าหรือบริการไปก่อนแล้วโจทก์จึงแจ้งยอดหนี้เรียกเก็บเงินจากจำเลยภายหลังซึ่งโจทก์คิดค่าบริการและค่าธรรมเนียมจากจำเลย เมื่อโจทก์ออกบัตรเครดิตดังกล่าวให้จำเลยแล้ว จำเลยได้นำบัตรซิตี้แบงก์วีซ่าและบัตรซิตี้แบงก์มาสเตอร์การ์ด ไปใช้จ่ายค่าสินค้าและค่าบริการซึ่งโจทก์ได้ออกเงินทดรองจ่ายแทนจำเลยไปก่อนทุกครั้ง พร้อมทั้งส่งใบแจ้งยอดบัญชีให้จำเลยนำเงินไปชำระให้โจทก์ทุกเดือนตลอดมา จำเลยชำระหนี้บางส่วนตามหนี้บัตรซิตี้แบงก์วีซ่าให้แก่โจทก์ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม2540 และชำระหนี้บางส่วนตามหนี้บัตรซิตี้แบงก์มาสเตอร์การ์ดให้แก่โจทก์ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2540 เห็นว่า โจทก์เป็นธนาคารพาณิชย์ให้บริการประเภทบัตรเครดิตแก่สมาชิกซึ่งทำให้สมาชิกสามารถใช้บัตรเครดิตที่โจทก์ออกให้ไปใช้จ่ายค่าสินค้าที่ซื้อจากร้านค้าหรือค่าบริการที่ใช้จากสถานบริการแทนการชำระด้วยเงินสด โดยโจทก์จะออกเงินทดรองชำระค่าสินค้าหรือค่าบริการดังกล่าวแก่เจ้าหนี้ซึ่งเป็นร้านค้าหรือสถานบริการไปก่อนแล้วเรียกเก็บเงินจากสมาชิกในภายหลัง อันเป็นลักษณะทำกิจการงานให้บริการอำนวยความสะดวกแก่สมาชิกในการซื้อสินค้าและใช้สถานบริการ ส่วนการให้สมาชิกเบิกถอนเงินสดล่วงหน้าด้วยบัตรเครดิตดังกล่าวก็มีลักษณะเป็นบริการส่วนหนึ่งประกอบการให้บริการอำนวยความสะดวกแก่สมาชิกของโจทก์และโจทก์ได้เรียกเก็บค่าบริการหรือค่าธรรมเนียมดังกล่าวด้วย โจทก์จึงเป็นผู้ประกอบธุรกิจรับทำการงานต่าง ๆ ให้แก่สมาชิก และการที่โจทก์ได้ชำระเงินแก่เจ้าหนี้ของสมาชิกแทนสมาชิกไปก่อนหรือให้สมาชิกเบิกถอนเงินสดล่วงหน้า แล้วเรียกเก็บเงินจากสมาชิกในภายหลังก็เป็นการเรียกเอาเงินที่โจทก์ได้ทดรองไป สิทธิเรียกร้องดังกล่าวจึงมีอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34(7) เมื่อปรากฏว่าจำเลยใช้บัตรซิตี้แบงก์วีซ่าครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2540 ครบกำหนดต้องชำระหนี้ตามใบแจ้งยอดบัญชีพร้อมคำแปล เอกสารหมาย จ.10 และ จ.11 ภายในวันที่ 12 กันยายน 2540 และจำเลยใช้บัตรซิตี้แบงก์มาสเตอร์การ์ดครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2540 ครบกำหนดต้องชำระหนี้ตามใบแจ้งยอดบัญชีบริการพร้อมคำแปลเอกสารหมาย จ.12 และ จ.13 ภายในวันที่ 22 สิงหาคม 2540 ซึ่งวันที่จำเลยต้องชำระหนี้บัตรเครดิตทั้งสองใบดังกล่าว เป็นวันที่โจทก์ย่อมบังคับสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระได้ ต่อมาจำเลยชำระหนี้บางส่วนตามบัตรซิตี้แบงก์วีซ่าให้โจทก์ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2540 และชำระหนี้บางส่วนตามบัตรซิตี้แบงก์มาสเตอร์การ์ดให้โจทก์ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2540 อันเป็นการรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงและเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันดังกล่าวเป็นต้นมาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14(1) และมาตรา 193/15แต่โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2543 พ้นกำหนด 2 ปี นับแต่วันที่ 18ธันวาคม 2540 และวันที่ 27 ธันวาคม 2540 อันเป็นวันเริ่มนับอายุความใหม่เป็นต้นมาฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยชำระหนี้บางส่วนครั้งสุดท้ายให้โจทก์ตามบัตรซิตี้แบงก์วีซ่าเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2540 และตามบัตรซิตี้แบงก์มาสเตอร์การ์ด เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2540 เป็นการชำระหนี้บางส่วนของจำเลย ยังมียอดหนี้และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ค้างชำระอยู่ที่จำเลยต้องชำระเป็นดอกเบี้ยและเบี้ยปรับแก่โจทก์เพราะชำระหนี้ล่าช้า โจทก์กำหนดให้จำเลยชำระหนี้ตามบัตรซิตี้แบงก์วีซ่าและบัตรซิตี้แบงก์มาสเตอร์การ์ดภายในวันที่14 พฤษภาคม 2541 และวันที่ 23 เมษายน 2541 ตามลำดับโจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2541 และวันที่ 24 เมษายน 2541โดยโจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2543 ยังไม่เกิน 2 ปี จึงไม่ขาดอายุความนั้นเห็นว่านับแต่จำเลยชำระหนี้บางส่วนให้โจทก์ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม2540 และวันที่ 26 ธันวาคม 2540 แล้วนั้น จำเลยไม่เคยใช้บัตรเครดิตดังกล่าวของโจทก์อีก ทั้งโจทก์ก็มิได้ออกเงินทดรองให้แก่จำเลย ใบแจ้งยอดบัญชีที่โจทก์ส่งให้จำเลยแต่ละเดือนต่อมาล้วนแต่เป็นการคิดบวกรวมดอกเบี้ยที่จำเลยผิดนัดเบี้ยปรับที่จำเลยชำระหนี้ล่าช้าเข้ากับต้นเงินที่จำเลยต้องชำระให้แก่โจทก์ทั้งสิ้นการที่โจทก์ยังให้โอกาสจำเลยนำเงินมาชำระให้โจทก์ต่อไปอีกก็มิได้หมายความว่าโจทก์ไม่อาจใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ที่ติดค้างดังกล่าวแล้วให้แก่โจทก์โดยทันที เพียงแต่โจทก์ผ่อนผันไม่บังคับสิทธิเรียกร้องเอาแก่จำเลยเท่านั้น ทั้งนี้โจทก์ก็คิดดอกเบี้ยและเบี้ยปรับที่ชำระหนี้ล่าช้าเป็นการตอบแทนที่จำเลยไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ครบถ้วนตามวันที่ถึงกำหนดชำระ ดังข้อกำหนดและเงื่อนไขเอกสารหมาย จ.6 ข้อ 7 ที่ระบุไว้ว่า “…จนกว่าจะมีการชำระหนี้ครบถ้วน แต่ทั้งนี้ธนาคารมีสิทธิที่จะเรียกไม่ว่าด้วยวาจาหรือหนังสือหรือใบแจ้งยอดบัญชีให้ผู้ถือบัตรชำระหนี้ที่ค้างทั้งหมดในทันทีโดยไม่ต้องรอจนถึงเวลาส่งใบแจ้งยอดบัญชีครั้งถัดไป หรือเรียกให้ชำระหนี้บางส่วนก่อนถึงกำหนดชำระดังกล่าวข้างต้นได้ตามที่ธนาคารจะเห็นสมควรโดยไม่ต้องแสดงเหตุผล…” และในข้อ 2 ของข้อกำหนดและเงื่อนไขดังกล่าวยังระบุด้วยว่า “ธนาคารมีอำนาจในการเพิกถอนสิทธิต่าง ๆ ที่ให้แก่ผู้ถือบัตรได้ทุกเวลา…” อันเป็นข้อตกลงที่จำเลยทำไว้แก่โจทก์ที่ยืนยันว่า โจทก์สามารถบังคับสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ที่ค้างทั้งหมดได้ทันทีตามใบแจ้งยอดบัญชี อายุความคดีนี้จึงเริ่มนับอีกครั้งเมื่อจำเลยชำระหนี้บางส่วนให้แก่โจทก์ครั้งสุดท้ายตามหนี้บัตรเครดิตแต่ละใบ มิใช่เริ่มนับตั้งแต่วันที่โจทก์เรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ที่ค้างทั้งหมดโดยไม่ผ่อนผันให้จำเลยค้างชำระหนี้อีกต่อไป ดังที่โจทก์ฎีกาแต่อย่างใด ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้นชอบแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share