คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1123/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ปัญหาว่าเอกสารใดเป็นตราสารที่ต้องปิดอากรแสตมป์ให้บริบูรณ์ตามประมวลรัษฎากรหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นสมควร ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจหยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นมาวินิจฉัยได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ประกอบมาตรา 246 การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าหนังสือสัญญากู้ยืมเงินและหนังสือสัญญาค้ำประกันเป็นเพียงหลักฐานเป็นหนังสือไม่ใช่ตราสารที่ต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร จึงไม่ถือว่าเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินกู้ พร้อมดอกเบี้ยจำนวน87,499.99 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีจากต้นเงิน 50,000 บาทนับถัดจากวันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยทั้งสองให้การ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 72,500 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 50,000 บาท นับจากวันฟ้องวันที่ 2 เมษายน 2540 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี

จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ 3 เมษายน2530 จำเลยที่ 1 เป็นผู้เขียนหนังสือสัญญากู้ยืมเงินโจทก์จำนวน 50,000 บาท ตกลงชำระดอกเบี้ยทุกเดือนในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ค้างชำระต้นเงินจำนวน 50,000 บาท และค้างชำระดอกเบี้ยจนถึงวันฟ้องจำนวน 22,500 บาท ในการสืบพยานของโจทก์ โจทก์อ้างส่งหนังสือสัญญากู้ยืมเงินและหนังสือสัญญาค้ำประกันเป็นพยานเอกสาร หนังสือสัญญากู้ยืมเงินมีจำเลยที่ 1ลงลายมือชื่อเป็นผู้กู้ และหนังสือสัญญาค้ำประกันมีจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อเป็นผู้ค้ำประกันแต่เพียงฝ่ายเดียว โดยโจทก์ซึ่งเป็นคู่สัญญามิได้ลงลายมือชื่อในหนังสือสัญญาทั้งสองฉบับด้วย หนังสือสัญญาทั้งสองฉบับปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนแต่ยังมิได้ขีดฆ่าอากรแสตมป์ทั้งหมด มีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยเป็นข้อแรกว่าการที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า หนังสือสัญญากู้ยืมเงินและหนังสือสัญญาค้ำประกันไม่ใช่ตราสารที่ต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากรเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นหรือไม่ เห็นว่า ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าหนังสือสัญญากู้ยืมเงินและหนังสือสัญญาค้ำประกันแม้จะปิดอากรแสตมป์มาครบถ้วน แต่ไม่มีการขีดฆ่าอากรแสตมป์ ถือว่ายังปิดอากรแสตมป์ไม่บริบูรณ์ ต้องห้ามไม่ให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 แม้โจทก์จะมิได้อุทธรณ์ว่าหนังสือสัญญากู้ยืมเงินและหนังสือสัญญาค้ำประกันไม่ใช่ตราสารที่ต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร แต่ปัญหาที่ว่าเอกสารใดเป็นตราสารที่ต้องปิดอากรแสตมป์ให้บริบูรณ์ตามประมวลรัษฎากรหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นสมควร ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจหยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นมาวินิจฉัยได้ ทั้งนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ประกอบมาตรา 246 ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าหนังสือสัญญากู้ยืมเงินและหนังสือสัญญาค้ำประกัน เป็นเพียงหลักฐานเป็นหนังสือไม่ใช่ตราสารที่ต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากรนั้น ไม่ถือว่าเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นแต่อย่างใด

ปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า หนังสือสัญญากู้ยืมเงินและหนังสือสัญญาค้ำประกัน เป็นตราสารที่ต้องปิดอากรแสตมป์ให้บริบูรณ์ตามประมวลรัษฎากรหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การรับว่า จำเลยที่ 1และที่ 2 เป็นผู้ทำหนังสือสัญากู้ยืมเงินและหนังสือสัญญาค้ำประกันตามที่โจทก์ฟ้องจริง ข้อเท็จจริงย่อมฟังได้แล้วว่าจำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินโจทก์มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือโดยไม่ต้องอาศัยฟังจากเอกสารอีก ดังนั้น ปัญหาที่ว่าหนังสือสัญญากู้ยืมเงินและหนังสือสัญญาค้ำประกันเป็นตราสารที่ต้องปิดอากรแสตมป์ให้บริบูรณ์ตามประมวลรัษฎากรหรือไม่ จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share